วันก่อน เพื่อนถามผมว่า คุณปู่ Warren Buffett ท่านไม่ค่อยเชื่อเรื่อง Bitcoin เลย แล้วผมยังกล้าเสี่ยงที่จะซื้อหรือ เพื่อการลงทุน ผมก็ตอบง่ายๆ ว่า มันอยู่มุมมองของแต่ละคน อย่างเช่น คุณปู่ Warren Buffett และหุ้นส่วนของเขา Charlie Munger เมื่อประมาณปีที่แล้ว ในการประชุมประจำปีของ Berkshire Hathaway ใน Omaha, Nebraska และเขากล่าวสั้นออกมาว่า สำหรับ bitcoin และ cryptocurrencies โดยทั่วไป ว่า “สิ่งหนึ่งที่ผมค่อนข้างมั่นใจคือมันไม่ได้สร้างอะไรเลย” ในความคิดของเขา สินทรัพย์เหล่านี้ ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลยนั้น มันจึงไม่มีค่าอะไรเลยในสายตาหรือมุมมองของเขา”
ด้วยใบหน้าที่แสดงความเพิกเฉย เขาได้อธิบายเพิ่มเติมว่าเขาไม่ชอบ Bitcoin นี่เป็นหนึ่งอย่างที่เขียนในหนังสือของเขา เขากล่าวว่า “ตอนนี้ถ้าคุณบอกผมว่าคุณเป็นเจ้าของ bitcoin ทั้งหมดในโลก และคุณเสนอให้ผมในราคา $25 ผมจะไม่รับมันไว้ เพราะอะไรรู้มั๊ย เพราะว่าผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมัน? อย่างดี ผมก็ต้องขายคืนให้คุณไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันจะไม่ทำอะไรให้เกิดประโยชน์กับผมเลย”
เพื่อนๆ รู้หรือเปล่า ความคิดเห็นเช่นนั้น มันทำให้ผมนึกถึงวิดีโอที่บางทีพวกเราบางคนอาจจะเคยเห็นที่มีคนเดินถือเหรียญทองหนึ่งออนซ์ เดินอยู่บนถนน และ พยายามขายในราคา 100 ดอลลาร์… แต่ในความเป็นจริง เหรียญทองนั้น มันมีมูลค่า 2,000 ดอลลาร์ ถ้าผมซื้อเหรียญทองมูลค่า 2,000 ดอลลาร์ ด้วยราคา 100 ดอลลาร์ เพื่อนๆ ผมมั่นใจว่า เพื่อนๆจะทำอย่างนั้นทั้งวัน แต่ที่แปลกก็คือ ในเวลานั้น ไม่มีใครซื้อเลย กลับแสดงความเพิกเฉยต่อเหรียญทองที่ชายคนนั้นพยายามขายในราคา100 ดอลลาร์ เหตุผลที่คนเพิกเฉย ก็คือ พวกเขาไม่เข้าใจมูลค่าที่แท้จริงของทองคำหนึ่งออนซ์นั้นเองในเวลานั้น
แน่นอน ประเด็นที่กำลังพูดอยู่ ก็คือ การปฏิเสธข้อเสนอเช่นนั้นเป็นเพียงเพราะความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ในสิ่งของสิ่งหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ซึ่งผมก็ไม่เถียงว่า ผู้คนสมัยนี้ ก็เป็นเช่นนั้น ในหลายๆ สถานการณ์ที่ผมประสบพบมานะ
“Bitcoin ทั้งหมดในโลก” มีมูลค่า 750,000 ล้านดอลลาร์ ถ้าเราสามารถซื้อเงิน 750,000 ล้านดอลลาร์ในราคาเพียง 25 ดอลลาร์ ผมคิดว่าเราคงหมดโอกาสนั้นแล้วใช่ไหม แต่สิ่งที่ผมอยากจะให้เพื่อนๆ นึกและตระหนักให้ดี คือ แต่นอกเหนือจากเรื่องมูลค่าทางการเงินแล้ว เรามาพิจารณาความคุ้มค่าและ Function ของ Bitcoin กันดีกว่า
ถ้าผมได้มีโอกาสอยู่ในการประชุมประจำปี ผมอยากจะถามคุณปู่บัฟเฟตต์ว่า “ถ้าคุณปู่ย้อนเวลากลับไปในปี 2538 และคุณปู่สามารถเป็นเจ้าของ 1% ของมูลค่าของ protocol ซึ่งอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นด้วยราคา 25 ดอลลาร์ คุณจะซื้อมันหรือไม่?” ถ้าคำตอบของเขาคือ “ไม่” นั่นก็คงจะเป็นเรื่องของการโกหก เพราะว่า แม้แต่คุณปู่บัฟเฟตต์ แกเองก็เข้าใจแล้วว่า โปรโตคอลเหล่านั้นมีค่ามากเพียงใด พวกเขาได้สร้างมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ และในบริษัทต่างๆ ที่สร้างขึ้นบนโปรโตคอลเหล่านั้น นอกจากนั้น ในปี 2560 คุณปู่บัฟเฟตต์ แกก็ยอมรับว่า แกทำพลาด การพลาดเขาคือการเข้าซื้อหุ้นไฮเทคอย่างเช่น google, apple and amazon คุณปู่ในตอนนั้น ก็ไม่เข้าใจว่า พวกหุ้น Hitech พวกนี้คืออะไร และมันจะทำงานกันอย่างไรในอนาคต และพวกมันจะทำเงินและทำเงินต่อไปในระยะยาวได้อย่างไร เขาอธิบายเพิ่มเติมในตอนนั้นว่าเขาและหุ้นส่วนของเขา ชาร์ลี มังเกอร์ “คิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างและเราจะทำมันต่อไป” สิ่งที่แปลกมากเกี่ยวกับจุดยืนของคุณปู่บัฟเฟตต์ ก็คือ แกยอมรับว่า แกไม่เข้าใจบริษัทเทคโนโลยีเลยจริงๆและแกจึงหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ด้วยเหตุผลนั้น ผมจึงขอบอกเพื่อนๆ ก่อนเลยว่า เวลาไม่เคยรอใคร ครับ ดังนั้น เพื่อนๆ ต้องพยายามทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีใหม่ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนโลกใบนี้ ไปในอีกทิศทางหนึ่ง และการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะรุนแรงแบบไปกันคนละทิศคนละทาง ครับ
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่เป็นไร ทำไมเราไม่ปล่อยให้พวกเขาพักไปก่อน จนกว่าเขาจะเข้าใจคุณค่าในที่สุดของพวกสิ่งเหล่านี้?
เพื่อนๆ ต้องรู้นะว่า หากเขาเข้าใจว่า bitcoin เป็นเพียงการสร้างรายได้จากอินเทอร์เน็ตโปรโตคอลรุ่นที่สาม และเป็นโปรโตคอลที่สามารถใช้สำหรับบริการทางการเงินด้วย เขาอาจสนใจที่จะเป็นเจ้าของสินทรัพย์…นั้นก็ได้ แบบที่ผมเคยพูดตลอดให้เพื่อนที่ใก้ลชิดผม ได้ยินว่า อย่าตกอกตกใจในเรื่องราคาของ Bitcoin ทุกอย่างมีขึ้นก็มีลง มีลงเดี๋ยวมันก็ขึ้น ขอให้เราเข้าใจในหลักการทำงานของมัน (functionality) และเราเชื่อมั่นในหลักการว่าสิ่งเหล่านี้คืออนาคตของคนยุคใหม่ เราก็จะเข้าใจประโยชน์มหาศาลที่จะเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ เมื่อระบบการเงินของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อย่างหน้ามือเป็นหลังมืออย่างแน่นนอน
นอกจากนั้น ถ้าเพียงคุณปู่เพียงเข้าใจว่า ethereum เป็นโปรโตคอลที่ไม่เพียงให้บริการทางการเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสัญญาอัจฉริยะ (smart contract) ทุกรูปแบบที่สามารถตั้งโปรแกรมสำหรับอะไรก็ได้ เช่น ผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์ หรือการขายทรัพย์สิน หรือการโอนทรัพย์สินที่ไม่ใช่ token ที่ใช้งานได้ (NFT) จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง……….หรือเพียงจินตนาการว่าเขาเข้าใจว่าเทคโนโลยีของ Ripple นั้นมาแทนที่ระบบ SWIFT ที่ช้า ราคาแพง ยุ่งยาก และไม่ปลอดภัยสำหรับการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนระหว่างสถาบันการเงิน……………….ยิ่งไปกว่านั้น ระบบ Ripple ยังช่วยให้สามารถส่งสกุลเงินไปยังที่ใดก็ได้ในโลกระหว่างสองสกุลเงินปกติในราคาเพียงเศษเสี้ยวของค่าใช้จ่าย พร้อมการชำระบัญชีในไม่กี่วินาที…กิ๊บ หรือไม่ มันคุ้มอะไรขนาดนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการชำระเงินผ่านพรมแดนในปัจจุบัน ที่ทั้งล่าช้า กินเวลานาน และด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงมาก (อยากให้เพื่อนๆ กลับไปอ่านเรื่อง CBDC – Central Bank Digital Currency ที่ผมเคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ เพิ่มเติมครับ แล้วเพื่อนๆ ก็จะเข้าใจดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น)
สุดท้ายนี้ ผมไม่มีอะไรที่จะต่อต้านคุณปู่นะครับ ผมยังเคารพในสิ่งที่ Buffett และ Munger สร้างร่วมกับ Berkshire Hathaway ตลอดหลายทศวรรษ ผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อเวลาผ่านไปนั้นยอดเยี่ยมมาก และ Berkshire Hathaway เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของผลตอบแทนที่สม่ำเสมออย่างมากที่สามารถทบต้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่เมื่อเราพูดถึงเทคโนโลยี และในกรณีนี้คือ blockchain and digital currency พวกเขาควรจะพูดว่า “ฉันไม่เข้าใจมันมากพอที่จะแสดงความคิดเห็น”เสียมากกว่า ผมว่า เพื่อนๆ คงได้เห็น มุมมองของผมในเรื่องนี้ ผมไม่สามารถบอกได้ว่า มุมมองของผมจะถูกหรือผิด ทั้งนี้ทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับเวลา และ พัฒนาการของโลกใบนี้
การแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางที่ไม่มีมูลความจริง จะเป็นเรื่องไร้สาระ สำหรับผม ครับ ผมมิได้เชื่อใน bitcoin ในแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่ผมเชื่อในเรื่องของ principle and functionality ของมันมากกว่า และระบบการเงินใหม่ที่จะถูก disrupt ในอนาคตอันใก้ล เท่านั้น มันยังเร็วเกินไปกว่าที่ผมจะยืนยันอะไรได้มาก เพราะเรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นบริการอินเทอร์เน็ตและบริการทางการเงินในยุคต่อไป เหนือสิ่งอื่นใด มันก็เท่านั้นเอง เท่านั้นเองจริง……ครับ
กิตติ ปิณฑวิรุจน์ / เขียนบทความ
#tiivarietytalk #ทีไอไอทอล์ค #ประกันภัย #ประกันชีวิต #ประกันวินาศภัย