Search
Close this search box.

Reverse Consumption

แนวโน้มที่คุณเห็นเกี่ยวกับคนรุ่นใหม่ที่เริ่มให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและลดการซื้อสินค้าที่เป็นแบรนด์เนม กำลังเริ่มเห็นประจักษ์ขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในค่านิยมและพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น

1. ความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อม: คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น พวกเขาอาจเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนำไปสู่การลดการบริโภคสินค้าที่ฟุ่มเฟือย ในยุคปัจจุบัน เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจ หนึ่งในแนวโน้มที่ชัดเจน คือการลดการใช้จ่ายในสินค้าที่เป็นแบรนด์เนม และมุ่งเน้นเฉพาะการซื้อสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งแนวโน้มนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในค่านิยมและวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม ปัจจัยแรกที่ส่งผลต่อแนวโน้มนี้คือ การที่คนรุ่นใหม่มีความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น พวกเขาเริ่มเข้าใจถึงผลกระทบของการบริโภคที่ไม่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม และเลือกที่จะสนับสนุนสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่าง: บริษัทเสื้อผ้าแฟชั่นยั่งยืน เช่น Patagonia ที่เน้นการผลิตเสื้อผ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสนับสนุนแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แทนที่จะซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมราคาแพงที่ไม่เน้นความยั่งยืน

2. การให้คุณค่ากับประสบการณ์มากกว่าวัตถุ: คนรุ่นใหม่มักให้ความสำคัญกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากกว่าการสะสมวัตถุ เช่น การท่องเที่ยว การเรียนรู้ หรือการมีประสบการณ์ทางสังคมมากกว่าการซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูงแต่ไม่ได้สร้างคุณค่าในระยะยาวซึ่งทำให้พวกเขาลดการใช้จ่ายในสินค้าหรูหรา

ตัวอย่าง: แพลตฟอร์มการท่องเที่ยวและประสบการณ์อย่าง Airbnb และ Traveloka ได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เหมือนใครและสามารถสร้างความทรงจำมากกว่าการซื้อของสะสมหรือสินค้าแบรนด์เนม

3. สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ: ปัจจัยทางเศรษฐกิจก็มีบทบาทสำคัญในพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพอาจทำให้พวกเขาต้องพิจารณาการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น การเลือกซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็นจึงเป็นการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

ตัวอย่าง: ในประเทศที่มีค่าครองชีพสูง เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ คนรุ่นใหม่มักเลือกที่จะออมเงินหรือใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็น เช่น การซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อที่ราคาถูกกว่า หรือการเลือกซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชันที่มีส่วนลดและโปรโมชั่นมากกว่าการซื้อสินค้าราคาเต็มจากแบรนด์เนม อย่างเช่น Discount Store ในประเทศจีนชื่อ “Himaxx” ซึ่งสามารถนำเอาแบรนด์เนม มาลดราคาได้ถึง ๑๐-๔๐% เช่น Gucci ลดลงจากราคาปกติ ถึง ๔๐% ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ยังความสนใจของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการประหยัด แต่ได้สินค้าที่มีคุณภาพ เป็นต้น

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมแฟชั่นและแบรนด์เนม

แนวโน้มการลดการซื้อสินค้าหรูหราของคนรุ่นใหม่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมแฟชั่นและแบรนด์เนมที่ต้องพึ่งพาความนิยมในสินค้าเหล่านี้ หากผู้บริโภคหันไปให้ความสำคัญกับคุณค่าที่แท้จริงและความยั่งยืนมากขึ้น อุตสาหกรรมนี้อาจต้องปรับตัวในเรื่องของการออกแบบ การตลาด และการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าใหม่ๆ เพื่อความอยู่รอด

ทิศทางในอนาคต

แนวโน้มการใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็นนี้อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในแนวทางการตลาดและการโฆษณา โดยแบรนด์อาจต้องเน้นการสื่อสารคุณค่าที่แท้จริงของสินค้าและการสร้างความยั่งยืนมากขึ้น เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและการใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมาย

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการบริโภค แต่ยังเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและสังคมที่กำลังเกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาแนวคิดใหม่ ๆ ในการบริโภคและการใช้ชีวิตที่สมดุลมากยิ่งขึ้น

กิตติ ปิณฑวิรุจน์​ / เขียนบทความ

แบ่งปันบทความนี้