Search
Close this search box.

Reid Hoffman ทำนาย งาน 9-to-5 กำลังจะสูญพันธุ์ภายในปี 2034 – เศรษฐกิจแบบ ‘GIG’ และโลกแห่งฟรีแลนซ์กำลังจะมาถึง!

Reid Hoffman ทำนาย งาน 9-to-5 กำลังจะสูญพันธุ์ภายในปี 2034

การทำงานแบบดั้งเดิม ตั้งแต่ 9-to-5 ของคุณกําลังจะสูญพันธุ์ไปภายในปี 2034(2577) ก็อีกไม่นานแล้วครับ แค่ 10 ปีเท่านั้น นั่นคือ คําทํานายล่าสุดของคุณ Reid Hoffman เพื่อนๆคงกำลังนึกในใจอยู่ว่าเจ้าหมอนี่คือใคร? ผมเฉลยครับ เขาก็คือ ผู้ก่อตั้ง LinkedIn ผู้ซึ่งเคยทำนายไว้ก่อนหน้านี้ถึงการเพิ่มขึ้นของโซเชียลมีเดียในปี 1997(2520) สิ่งที่เขาพูดและการคาดการณ์ในอดีตของ Hoffman นั้นค่อนข้างแม่นมาก เพราะมันเกิดขึ้นจริงๆ และนี่คือหัวข้อที่ผมอยากนำมาคุยกับเพื่อนๆ ให้เพื่อนๆเร่งปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังมาถึง เขาทำนายในอดีตไว้ว่า

  • โซเชียลเน็ตเวิร์กที่คาดการณ์ไว้จะเปลี่ยนโลกใบนี้ (LinkedIn ขายในราคา 26 พันล้านดอลลาร์) เพื่อนๆ ก็ประจักษ์แล้วว่า Social Network มันน่ากล้วขาดไหน …..
  • จะเกิดเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (นักลงทุน Airbnb เร็วๆนี้ การใช้รถร่วมกัน Uber ไงครับ)
  • เขายังทำนายถึงการปฏิวัติ AI หลายปีก่อน ChatGPT เสียอีก

ครั้งนี้ผมจึงอยากจะนำเอาคำทำนายล่าสุดของเขามาให้เพื่อนๆได้ฟังครับ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่สติปัญญาของเพื่อนๆแต่ละคน เรามาเริ่มกันเลยครับ

การปฏิวัติเศรษฐกิจกิ๊ก (GIG Economic Revolution) กําลังมา (ไม่ใช่กิ๊บนะครับอย่าเข้าใจผิด) และยิ่งใหญ่กว่าที่คุณคิด ภายในหนึ่งทศวรรษ 50% ของประชากรโลก โดยเฉพาะในประเทศพัฒนา รวมทั้งประเทศไทย จะเป็นฟรีแลนซ์ (Freelancers) (นี่คือจุดพลิกผัน: พวกเขาจะทำรายได้มากกว่าพนักงานแบบเดิมทั่วไป เพื่อนๆคงถามในใจว่า แล้วเศรษฐกิจ GIG มันคืออะไรหรือ …… เรามารู้จักมันคร่าวๆนะครับ

“เศรษฐกิจแบบกิ๊ก” หรือ “Gig Economy” หมายถึงตลาดแรงงานที่เน้นการจ้างงานระยะสั้น งานฟรีแลนซ์ และตำแหน่งงานชั่วคราว แทนที่จะเป็นงานประจำ รูปแบบเศรษฐกิจนี้เติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนบางคนเรียกว่าเป็นการปฏิวัติรูปแบบการทำงานในรูปแบบใหม่ครับ

ลักษณะสำคัญ :

  1. ความยืดหยุ่นสำหรับคนทำงาน
  2. ต้นทุนที่ต่ำลงสำหรับบริษัท
  3. การจับคู่งานผ่านเทคโนโลยี (แอพและแพลตฟอร์มออนไลน์)

ปัจจัยการเติบโต :

  1. แพลตฟอร์มดิจิทัล (เช่น Uber, Airbnb, TaskRabbit)
  2. ความต้องการของคนทำงานที่เปลี่ยนไป
  3. แรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อบริษัท

ผลกระทบ :

  1. เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน
  2. อาจเกิดความไม่มั่นคงด้านรายได้
  3. ท้าทายรูปแบบการจ้างงานแบบดั้งเดิม
  4. เกิดการถกเถียงเรื่องการจัดประเภทแรงงานและสวัสดิการ

ความท้าทาย :

  1. ขาดความมั่นคงในงาน
  2. การเข้าถึงสวัสดิการที่จำกัด หรือ แทบจะไม่มีเลย
  3. ปัญหาด้านกฎระเบียบที่ยังตามไม่ทัน โดยเฉพาะกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ที่ยังล้าหลังไม่เท่าทัน

เกมส์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วครับ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเศรษฐกิจแบบ GIG จะเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานไปบ้าง แต่จะเรียกว่าเป็น “การปฏิวัติ” อย่างแท้จริงหรือไม่นั้น ผมก็เห็นว่ายังมีข้อถกเถียงกันอยู่ ผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจโดยรวมและแรงงานยังคงกำลังเกิดขึ้นและพัฒนาไปเรื่อยๆ และจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างรวดเร็ว สังคมคนสูงวัย ขยายอายุขัยออกไปเนื่องจากการตายที่น้อยลงด้วย model medical technology คนเกิดน้อยลง เนื่องจากสังคมกำลังบีบให้สาวๆขึ้นคานมากขึ้น การแต่งงานก็น้อยลง แม้ว่าจะแต่งงานก็ไม่อยากมีทายาท (ไม่ต้องพูดถึงสาวๆ 45 ขึ้นไปที่ยากที่จะหาคู่แล้ว) สิ่งเหล่านี้ทำให้ผลักดันให้สังคมเริ่มเข้าสู่จุดเปลี่ยนแปลงแบบที่ไม่เคยมีมากก่อนครับ

เศรษฐกิจแบบกิ๊ก (GIG Economy) ก็คือ ทักษะเฉพาะทาง + ความต้องการทั่วโลก = อัตราค่าบริการ เราจะเห็น platform อย่าง Braintrust ที่ให้นักแปลอิสระเก็บรายได้ไว้ 100% แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้นครับ อะไรคือตัวเปลี่ยนเกมตัวจริง? ผลงานทางดิจิทัลของคุณ (Digital Footprint) มันจะกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของคุณ เพื่อนๆลืม “Resume” ไปได้เลยครับ ผลงานออนไลน์ของคุณ (Online Portfolio) จะเป็นประวัติย่อใหม่ของคุณ บริษัทต่างๆจะจ้างงานตามผลงานที่พิสูจน์แล้ว ไม่ใช่ปริญญาหรือต่ำแหน่งงาน ผมเคยทดสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง กล่าวคือผมให้ลูกสาวนำผลงานการถ่ายภาพโฆษณาไปแสดงไว้ใน social media ครับ ปรากฏว่ามีผู้ติดต่อเขามาพอสมควร ทั้งที่ลูกสาวของผมยังเรียนอยู่ปี 3 เท่านั้น เขาก็เริ่มทำงานแบบ Freelance ตั้งแต่นั้นมาแล้วครับ นั้นคือ GIG Economic Power ครับ แต่สิ่งที่น่าเสียดายมากก็คือ นี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ หรือ เด็กส่วนใหญ่ในประเทศไทยยังขาดหายไป ครับ …. น่าเศร้าไหมละ ก็ต้องโทษระบบการศึกษาของเราครับ

สิ่งที่ผมพูดนี้ ไม่ใช่แค่การจัดแสดงงานของคุณ แต่มันเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลที่โดดเด่นใน sea of digital noise นี่คือสิ่งที่โดดเด่นขึ้นทุกวัน ทําไมหรือ? เพราะโลกของ AI กําลังเข้าสู่การแชท ทุกคนคลั่งไคล้เกี่ยวกับ AI พวกเขาใช้ AI ในการขโมยผลงานคนอื่นๆ ผมว่านี่คือสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ เพราะพวกเขาพลาดภาพรวมของสิ่งเหล่านี้ไปทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ถ้าทนายความใช้ AI ในการทำงาน เขาจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น 200% แล้ว แต่แทนที่จะใช้ในการทำงานเพิ่มประสิทธิภาพ เขากลับมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์ high-level และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแทน ….. มันช่างไร้ประโยชน์อะไรเสียขนาดนั้น

ไม่ใช่ AI กําลังเปลี่ยนงานที่มีอยู่ แต่มันก็ยังสร้างสิ่งใหม่ทั้งหมด เพื่อนๆเคยได้ยินเกี่ยวกับนักจริยธรรม AI (AI Ethicist) หรือไม่? คุณกําลังจะได้สัมผัสกับมันในไม่ช้าครับ นักจริยธรรม AI จัดการกับคําถาม เช่น

  • เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการตัดสินใจของ AI นั้นยุติธรรมและเป็นกลาง?
  • จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ AI ตัดสินใจเลือกการดำรงอยู่หรือความตาย?
  • เราจะปกป้องความเป็นส่วนตัวในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้อย่างไร

มันเป็นเรื่องที่จะต้องสอดประสาน เมื่อเทคโนโลยีพบกับปรัชญาต่างๆ เราควรคำนึงว่าเราต้องนำเอาทักษะที่มีค่าที่สุดในยุค AI มาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดอย่างมีประสิทธิภาพ ทําไมหรือ? ก็เพราะผู้ที่เชี่ยวชาญการทํางานร่วมกันของ AI จะทําผลงานได้ดีกว่าเพื่อนร่วมงานหลายสิบคน มันไม่ได้เกี่ยวกับการแข่งขันกับ AI แต่มันเกี่ยวกับการทำให้คนเป็นยอดมนุษย์ที่ได้รับการปรับปรุงด้วย AI ในสาขาที่คุณถนัดเท่านั้นเองครับ

ทีนี้ผมจะมาพูดถึงที่ที่คุณจะทํางานในปี 2034 :

เราจะเริ่มเห็นว่า Head Quarter สำนักงานใหญ่จะหายไป และมันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คุณคิด พื้นที่สํานักงานจะลดลง 40% ภายในปี 2034 ทุกวันนี้เราก็เริ่มเห็นแล้วในกรุงเทพฯ ตัวอย่างในเรื่องนี้ที่ชัดเจน คือ GitLab เขามีพนักงาน 1,500+ คน ใน 65+ ประเทศ แต่เขาไม่มีสํานักงานจริงเลย … แปลกหรือเปล่า นั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆครับ อนาคตของการทํางานไม่ใช่แค่ระยะไกล remote areas นะครับ มันจะกลายเป็น hyper-local และ global ไปพร้อมกัน พูดง่ายๆทำงานได้ทุกที่ในโลกนี้ครับ พวกเขาสามารถเดินทางเข้าสู่เมืองได้ภายใน 15 นาที พวกเขาใช้ชีวิต ทํางาน และเล่น – ทั้งหมดอยู่ในระยะเดินหรือขี่จักรยานไม่ไกล ฟังดูแล้วเหมือนเป็นโลก ยูโทเปียใช่ไหม? แต่รอจนกว่าคุณจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ Micro-Entrepreneurshi Boom…เสียก่อนครับ เพราะ ภายในปี 2034 ผู้เชี่ยวชาญ 1 ใน 3 จะมีธุรกิจแบบ micro-businesses หลายแห่ง เศรษฐกิจแบบนี้จะสร้างเศรษฐีที่ไม่น่าจะเป็นไปได้จำนวนมากครับ อาทิเช่น

  • คนหาอาหารมีรายได้ 200,000 ดอลลาร์/ปี ขายเห็ดป่า
  • สถาปนิก Minecraft ทําเงินได้ $350K ในการออกแบบโลกเสมือนจริง (Virtual World) หรือ Metaverse ที่ผมเคยเกริ่นให้ฟังมาแล้ว มันจะเป็นการออกแบบร้านค้า บ้านพัก ในโลกเสมือนจริง ที่จะทำการค้าขายคล้ายคลึงกับโลกในปัจจุบันครับ ซึ่งมันจะโยงใยไปถึง cryptocurrency อีกด้วยครับ

นี่คือโอกาสที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ชาติครับ เพื่อนๆพร้อมหรือยังครับกับอนาคตของการทํางานที่ไม่ใช่แค่ความยืดหยุ่น มันลื่นไหล คุณจะสลับไปมาระหว่างพนักงาน นักแปลอิสระ ผู้ประกอบการ และนักลงทุนได้อย่างราบรื่น (อย่างเช่นที่ผมทำอยู่) ทั้งหมดเกิดขึ้นในแต่ละสัปดาห์ คุณพร้อมที่จะคว้าโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนสําหรับเสรีภาพและการสร้างความมั่งคั่งหรือไม่? อนาคตมันจะบังคับให้เพื่อนๆต้องปรับตัว การทำงานแบบ 9-5 ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดใหม่นั่นเป็นโอกาสของเพื่อนๆ กำลังจะนิยามความสําเร็จใหม่ครับ หากเพื่อนๆ เข้าใจมัน

คำถามของผม คือ what’s your next move? ครับ อย่าช้าเพราะกาลเวลาไม่เคยรอใครครับ

กิตติ ปิณฑวิรุจน์​ / เขียนบทความ

แบ่งปันบทความนี้