ยุคทองใหม่และโอกาสการลงทุนในหุ้นเหมืองทอง
ตลาดทองคำกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจเป็นการเริ่มต้นของ Secular Bull Market เพื่อนๆ กำลังจะถามผมใช่หรือไม่ว่า แล้ว Secular Bull Market มันคืออะไร? คำตอบง่ายๆ โดยไม่ต้องบรรยายมาก ก็คือ ตลาดขาขึ้นระยะยาวที่มีลักษณะเฉพาะดังนี้ ตลาดที่มีแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว โดยทั่วไปจะกินเวลา 10-20 ปี หรือมากกว่า และ Secular Bull Market นั่นมันแตกต่างจาก “Cyclical Bull Market” ที่มักจะกินเวลาเพียง 1-3 ปี การเคลื่อนไหวของ Secular Bull Market นั้นมักจะถูกขับเคลื่อนโดย ปัจจัยโครงสร้างพื้นฐาน (Structural Factors) มากกว่าปัจจัยชั่วคราว
Secular Bull Market นี้จะดำเนินต่อไปจนถึงช่วงปี 2030 หลังจากที่ราคาทองคำผันผวนและสร้างความสับสนให้นักลงทุนด้วยการทำ False Breakout ในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน
ผลงานที่โดดเด่นของ Newmont Corporation (NEM) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ส่งสัญญาณบวกที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของหุ้นเหมืองทองในการกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของ Portfolio หลักของนักลงทุน เช่นเดียวกับที่เคยเป็นในช่วงปี 1960-1990 นอกจากนี้การเติบโตอย่างรวดเร็ว ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell Industry) โดยเฉพาะในจีน ได้สร้างความต้องการเงิน (Silver) ในปริมาณมหาศาล ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดแคลนและส่งผลต่อราคาโลหะมีค่าทั้งระบบ (อย่าลืมว่า Silver and Gold มันมักจะไปคู่กัน)
สถานการณ์ปัจจุบันของตลาดทองคำ
ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดทองคำได้แสดงพฤติกรรมที่อาจทำให้นักลงทุนเกิดความสับสน โดยเฉพาะการสร้าง False Breakout แล้วตามด้วยการปรับตัวลดลง ทำให้เพื่อนๆ ที่ไม่ติดตามมัน อาจจะตกใจบ้าง อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในตลาด Bull Market และอาจเป็นสัญญาณของการสะสม (Accumulation) ก่อนที่จะเกิด Legitimate Breakout ในอนาคตอันใกล้ แต่จากการวิเคราะห์แนวโน้มชี้ให้เห็นว่า ทองคำกำลังเข้าสู่ยุคของ Secular Bull Market ที่อาจดำเนินต่อไปจนถึงช่วงปี 2030 โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญหลายประการ
ผลงานโดดเด่นของ Newmont Corporation Newmont Corporation ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้รายงานผลงานไตรมาสล่าสุดที่โดดเด่นอย่างน่าประทับใจ โดยมี highlight ที่น่าสนใจ คือ ราคาทองเฉลี่ยที่ขายได้เพิ่มขึ้น $376 ต่อออนซ์ เป็น $3,320 ต่อออนซ์ ทำให้กำไรต่อหุ้นปรับปรุงแล้ว $1.43 เทียบกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ $1.18 บริษัทนี้มีกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) ทำสถิติใหม่ คณะกรรมการอนุมัติโปรแกรมซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติม $3 พันล้านดอลลาร์ในราคาหุ้นเพิ่มขึ้น $2 ต่อหุ้น (+3.2%) ในการซื้อขายหลังเวลาทำการ
ผลงานที่โดดเด่นนี้แตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา ที่ผลงานของ Newmont มักไม่เป็นประโยชน์ ต่อภาคเหมืองทองโดยรวม แต่ครั้งนี้กลับเป็นตัวอย่างที่ดี และส่งสัญญาณบวกสำหรับบริษัทเหมืองทองอื่นๆ ที่จะรายงานผลงานในสัปดาห์หน้าผ่านมา
ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ คือ ความต้องการเงิน (Silver) จากอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ นี่คือหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับตลาดโลหะมีค่าในปัจจุบัน คือ การเติบโตอย่างรวดเร็ว ของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะในประเทศจีน โดยมีข้อมูลสำคัญ ที่บ่งชี้ ดังนี้ กำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ของจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การเติบโตในปีนี้เพียงอย่างเดียว ใช้เงินประมาณ 11% ของอุปทานเงินรายปีของโลก และหากสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ขยายตัวในลักษณะเดียวกัน จะเกิดความต้องการเงินเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
สถานการณ์นี้สร้างคำถามสำคัญว่า หากประเทศอื่นๆ ตามรอยจีนในการขยายการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ ตลาดเงินจะสามารถรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่ ?
ปัจจัยหนุนอื่นๆ สำหรับทองคำ ในแง่ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เราจะเห็นว่าเงินเฟ้อโครงสร้างที่ยังคงอยู่ ในระบบเศรษฐกิจโลก ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และทวีความรุนแรง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผลักดันให้ ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงเป็นผู้ซื้อทองคำสำรองสุทธิ เพื่อต่อสู้กับความผันผวนในตลาดการเงิน และ ที่สำคัญอีกอย่าง คือ แนวโน้มการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐในระยะยาว
แนวโน้มอนาคตและการคาดการณ์
ในระยะสั้น ในช่วงปี 2025-2026 เราคาดว่าทองคำจะสามารถทำ Legitimate Breakout ได้สำเร็จ หลังจากช่วงของการ Consolidation และ False Breakout ที่ผ่านมา ปัจจัยหนุนหลักมาจากสาเหตุ คือ ผลงานที่ดีของบริษัทเหมืองทอง โดยมี Newmont เป็นตัวอย่าง
ราคาทองคำที่ยังคงแข็งแกร่งและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และ การเพิ่มขึ้นของ Free Cash Flow ในภาคเหมืองทอง แต่หลังจากนั้น เราคาดการณ์ในระยะยาว เราจะเริ่มเห็นถึงการเริ่มต้นของ Secular Bull Market ที่อาจดำเนินต่อไปจนถึงช่วงปี 2030 โดยมีปัจจัยหนุนดังนี้ หุ้นเหมืองทองอาจได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของ Portfolio หลักอีกครั้ง สิ่งนี้คล้ายกับเหตุการณ์ในช่วงปี 1960 ถึงกลางปี 1990 ที่หุ้นเหมืองทองเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุน และการเพิ่มขึ้นของการจ่ายเงินปันผลจากบริษัทเหมืองทองจะเป็นปัจจัยดึงดูดสำคัญ
แต่สิ่งที่เพื่อนๆ ควรที่ต้องระวัง ก็คือ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมากเรามักเห็นว่าบริษัทเหมืองทองมักจะทำพลาด แม้ในช่วงที่ราคาทองสูง โดยขยายการผลิตมากเกินไปในช่วงราคาสูง อาจนำไปสู่ปัญหาในอนาคตที่ทำให้ ราคาตก และความสำคัญของการมีวินัยในการจัดการทุนและการจ่ายเงินปันผลแทนการขยาย การผลิตตลอดเวลา
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน คือ จับจังหวะการลงทุน (Market Timing) โดย สำหรับนักลงทุนระยะสั้น ควรรอให้ทองคำทำ Legitimate Breakout ที่ชัดเจนก่อนเพิ่มสัดส่วนการลงทุน ติดตามผลงานของบริษัทเหมืองทองรายใหญ่ที่จะรายงานในสัปดาห์หน้า และ ใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar Cost Averaging) หากไม่แน่ใจในการจับจังหวะ อย่าพยายามเข้าในที่เดียวครับ
แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว ผมคิดว่าเริ่มสะสมหุ้นเหมืองทองคุณภาพดีในช่วงราคาปรับตัวลง และ มองหาโอกาสในการเพิ่มสัดส่วนทองคำและหุ้นเหมืองทองใน Portfolio เพื่อจะไม่ผลาดโอกาส
ความเสี่ยงที่ต้องระวัง:
- ความผันผวนสูง: หุ้นเหมืองทองมีความผันผวนสูงกว่าตลาดโดยทั่วไป
- ความเสี่ยงจากการดำเนินงาน: อุบัติเหตุ ปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือปัญหาแรงงาน
- ความเสี่ยงทางการเมือง: สำหรับบริษัทที่มีเหมืองในประเทศกำลังพัฒนา
- ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบาย: ภาษี ค่าธรรม เนียม หรือกฎระเบียบใหม่
กลยุทธ์ลดความเสี่ยง:
- Diversification: กระจายการลงทุนในหลายบริษัทและหลายภูมิภาค
- Position Sizing: ไม่ลงทุนมากเกินไปในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง
- Stop Loss: กำหนดระดับขาดทุนที่ยอมรับได้
- Regular Review: ทบทวนการลงทุนสม่ำเสมอและปรับปรุงตามสถานการณ์
ตลาดทองคำกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจเป็นการเริ่มต้นของ Secular Bull Market ที่จะดำเนินต่อไปจนถึงช่วงปี 2030 ผลงานที่โดดเด่นของ Newmont Corporation เป็นสัญญาณบวก ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของหุ้นเหมืองทองในการกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนหลัก การเติบโตของอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะในจีน ได้สร้างความต้องการเงินเพิี่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดแคลนและส่งผลดีต่อราคาโลหะมีค่าทั้งระบบ สำหรับนักลงทุน การเตรียมพร้อมสำหรับยุคทองใหม่นี้ต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างละเอียด การเลือกบริษัทที่มีการจัดการที่ดี และการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลแทนการขยายการผลิตอย่างไร้ขีดจำกัด
ท้ายที่สุด แม้ว่าโอกาสในตลาดทองคำและหุ้นเหมืองทองจะน่าดึงดูด แต่นักลงทุนควรจำไว้ว่า “Just because gold does well doesn’t mean miners can’t mess it up as they traditionally have” การลงทุนอย่างมีสติและการเลือกบริษัทที่เหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคทองใหม่นี้
สวัสดีครับ
ศิษย์ สุมาเต็กโซ