Search
Close this search box.
Gentle Singularity และการกำเนิดของ หุ่นยนต์มนุษย์

Gentle Singularity และการกำเนิดของหุ่นยนต์มนุษย์

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าของโลก มนุษยชาติอยู่บนเส้นทางสู่ “Gentle Singularity” – การเปลี่ยนผ่านอย่างนุ่มนวลสู่ยุคแห่งความฉลาดยิ่งยวดที่ AI และหุ่นยนต์มนุษย์ (humanoid robots) จะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน บทความนี้ ผมอยากจะพาเพื่อนๆ ไปสำรวจความหมายของ Gentle Singularity และภาพอนาคตอันใกล้ที่หุ่นยนต์ ซึ่งจะเดินเคียงข้างเราในทุกที่ ตั้งแต่โรงงานไปจนถึงบ้านเรือน พร้อมทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจและความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า โดยอ้างอิงวิสัยทัศน์จาก Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ผู้มองว่าปี 2027 จะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคหุ่นยนต์ที่ปฏิบัติงานในโลกจริงได้ เรามาดูแนวความคิดของคุณ Sam Altman กันดีกว่าครับ

Gentle Singularity คืออะไร?

ก่อนหน้านี้ ผมได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับ “Economic Singularity” ให้ฟังครั้งหนึ่งแล้ว โดยตอนนั้น ผมเขียนขึ้น 3 ตอนด้วยกัน ครับ ผมสงสัยว่า เพื่อนๆ น่าจะลืมแล้ว แน่นอน ไม่เป็นไร ผมเล่าคราวๆ ให้ฟังครับ

“Economic Singularity” หมายถึง สถานการณ์ในอนาคตที่เทคโนโลยีอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีความก้าวหน้าอย่างมากจนสามารถทำงาน และการดำรงชีวิต ทั้งหมดที่มนุษย์ทำได้เองหรือทำได้ดีกว่ามนุษย์ทั้งหมด ซึ่งจะนำโลกปัจจุบันของเรา ไปสู่ การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในระบบเศรษฐกิจและสังคม ในสถานการณ์นี้ ความสามารถของเครื่องจักรในการทำงานทุกประเภทจะทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานมนุษย์อีกต่อไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้ระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ในรูปแบบเดิม เนื่องจากการผลิตจะเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติและไม่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรเหมือนในอดีต ประกอบกับการค้นพบแร่ธาตุในดวงจันทร์ ที่จะมาเสริมให้การพัฒนานี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ครับ

ที่จะอ่านต่อไป เพื่อนๆ จำเป็นต้องเข้าใจ ความหมายของ “Gentle Singularity” หรือ “เอกพจน์ที่นุ่มนวล” หมายถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่ AI มีความฉลาดเหนือมนุษย์ในบางด้าน โดยจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ราบรื่น และควบคุมได้ ต่างจากภาพของ Technological Singularity ที่มักถูกจินตนาการว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงฉับพลันและอาจนำไปสู่ความโกลาหล Gentle Singularity เน้นการที่ AI และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น หุ่นยนต์มนุษยรูป เข้ามาเป็นเครื่องมือที่ยกระดับคุณภาพชีวิต โดยมนุษย์ยังคงมีบทบาทในการกำหนดทิศทางของอนาคต

Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ได้นำเสนอแนวคิดนี้ในบล็อกโพสต์ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2025 ชื่อ “The Gentle Singularity” โดยระบุว่าในปี 2027 หุ่นยนต์จะสามารถปฏิบัติงานที่ซับซ้อนในโลกจริงได้ ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนผ่านนี้

การเปลี่ยนผ่านที่เริ่มต้นแล้ว

ในปี 2025 มนุษยชาติได้ก้าวข้าม “event horizon” หรือจุดที่ไม่มีวันหวนกลับในการพัฒนา AI ระบบอย่าง GPT-4 และ o3 มีความสามารถเหนือกว่ามนุษย์ในงานหลายด้าน เช่น การเขียนโค้ด การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง ผู้คนนับร้อยล้านใช้ AI ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การถามคำถามง่ายๆ ไปจนถึงการทำงานที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม โลกยังคงดู “ปกติ” – หุ่นยนต์ยังไม่เดินเต็มถนน, มนุษย์ยังเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บเช่นเดิม, และการเดินทางสู่อวกาศยังเป็นความท้าทายของมนุษยชาติ

อย่างไรก็ตาม Sam Altman คาดการณ์ Timeline ไว้ดังนี้

  • 2025: AI จะปฏิบัติงานที่ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ (cognitive work) เช่น การเขียนโค้ดหรือการตัดสินใจ ซึ่งปัจจุบันก็ประสบผลสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ครับ อย่างเช่น Lovabl.dev หรือ Replit ซึ่งทั้งสองนี้ จากประสบการณ์ที่เข้าใช้ ถือว่าดี ครับ
  • 2026: AI จะเริ่มค้นพบข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ (novel insights) ซึ่งเป็นนิยามคร่าวๆ ของ Artificial General Intelligence (AGI)
  • 2027: หุ่นยนต์มนุษย์ จะปฏิบัติงานที่ซับซ้อนในโลกจริง เช่น ในโกดังหรือการดูแลผู้สูงอายุ พวก Health Care or Home Care

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่พาเราไปถึงจุดนี้เป็นรากฐานที่แข็งแกร่ง การค้นพบเชิงลึกที่ยากลำบากได้วางเส้นทางให้ AI และหุ่นยนต์พัฒนาต่อไปอย่างรวดเร็ว. หุ่นยนต์มนุษย์ จะเริ่มเข้ามาในชีวิตประจำวันมากขึ้น หุ่นยนต์ไม่ใช่เรื่องใหม่ อุตสาหกรรมการผลิตได้ใช้หุ่นยนต์ตั้งแต่ปี 1961 เมื่อ Unimate หุ่นยนต์ตัวแรก ถูกติดตั้งในสายการผลิตของ General Motors เพื่อเชื่อมชิ้นส่วนรถยนต์ ปัจจุบัน หุ่นยนต์อุตสาหกรรมมีบทบาทในทุกสายการผลิตที่สำคัญ แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น คือ การมาของหุ่นยนต์มนุษยที่เคลื่อนไหวและทำงานเหมือนมนุษย์ หรือพูดง่ายๆ หุ่นยนต์เหล่านี้ อาจจะมาแทนที่การทำงานของมนุษย์ได้ในระดับหนึ่ง

การพัฒนาหุ่นยนต์มนุษยในปัจจุบัน

ในปี 2025 เราเริ่มเห็นหุ่นยนต์มนุษยรูปทำงานจริงแล้ว ตัวอย่างเช่น:

Figure AI เผยแพร่วิดีโอความยาวหนึ่งชั่วโมงที่แสดงหุ่นยนต์ Figure 02 ทำงานในโกดังโดยอัตโนมัติ เช่น หยิบและจัดแพ็คเกจโดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุม

  • Amazon พัฒนาหุ่นยนต์ Vulcan ที่สามารถจัดการสินค้าในถุงผ้าซึ่งเดิมต้องใช้มือมนุษย์ และกำลังทดสอบหุ่นยนต์มนุษยรูปสำหรับการจัดส่งพัสดุ
  • Tesla กำลังพัฒนา Optimus หุ่นยนต์ที่ตั้งเป้าผลิต 10,000 ตัวในปี 2025 โดยมีราคาเป้าหมายในอนาคตที่ 10,000-20,000 ดอลลาร์
  • บริษัทอื่นๆ เช่น Agility Robotics (Digit), Sanctuary AI, Apptronik และ 1X Technologies ก็กำลังพัฒนาหุ่นยนต์สำหรับงานโลจิสติกส์และการดูแล

หุ่นยนต์เหล่านี้เรียนรู้ผ่านการสาธิต การเสริมกำลัง (reinforcement learning) และการโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อม ไม่ต้องเขียนโค้ดทีละบรรทัดเหมือนในอดีต ทำให้การพัฒนาและการใช้งานง่ายขึ้น การทำงานโดยเฉพาะงาน Routine Work. หุ่นยนต์สำหรับงานประจำ (Routine Work) จะได้รับการพัฒนาให้ได้รับการวางโปรแกรมล่วงหน้าด้วยความแน่นอนและแม่นยำมักถูกใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และประหยัดเวลา โดยเฉพาะในงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น การผลิต การประกอบชิ้นส่วน หรือการจัดการวัสดุ การโปรแกรมสามารถทำได้ทั้งแบบ ออนไลน์ (เช่น การสอนผ่านหน้าจอหรือนำด้วยมือ) และ ออฟไลน์ (เช่น ใช้ซอฟต์แวร์อย่าง RoboDK เพื่อจำลองและสร้างโปรแกรมก่อนใช้งานจริง)

ปี 2027: จุดเปลี่ยนของหุ่นยนต์ Sam Altman คาดการณ์ว่าในปี 2027 หุ่นยนต์มนุษย์จะเริ่มปฏิบัติงานในโลกจริงอย่างแพร่หลาย นี่จะเป็น “a-ha moment” ที่ผู้คนตระหนักว่า AI และหุ่นยนต์ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์ในดาต้าเซ็นเตอร์ แต่เป็นเครื่องจักรที่เหมือน C-3PO จาก Star Wars ที่ช่วยล้างจาน ส่งของ หรือดูแลผู้สูงอายุ

อนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI และหุ่นยนต์

AI และหุ่นยนต์มนุษย์จะเปลี่ยนแปลงหลายมิติของชีวิต:

1. ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

AI จะเร่งการค้นพบใหม่ๆ เช่น ยารักษาโรคหรือเทคโนโลยีพลังงานสะอาด นักวิทยาศาสตร์ที่ใช้ AI มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม 2-3 เท่า และในปี 2026 AI อาจค้นพบความรู้ใหม่ได้เอง

2. การเพิ่มผลผลิตและความคิดสร้างสรรค์

ในปี 2027 หุ่นยนต์จะทำงานในโกดัง โรงงาน หรือการขนส่ง ผู้คนจะสร้างซอฟต์แวร์และงานศิลปะได้ง่ายขึ้น โดยในปี 2030 ความสามารถของมนุษย์ในการทำงานจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2020

3. วงวนแห่งการพัฒนา

AI จะช่วยพัฒนา AI และหุ่นยนต์ที่ดีกว่า เช่น การออกแบบชิปใหม่หรืออัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น หุ่นยนต์ที่สร้างหุ่นยนต์อื่นหรือดาต้าเซ็นเตอร์ที่ขยายตัวเองจะเร่งความก้าวหน้าแบบทวีคูณ

4. เศรษฐกิจที่อุดมสมบูรณ์

เมื่อการผลิตหุ่นยนต์และดาต้าเซ็นเตอร์เป็นอัตโนมัติ ต้นทุนของความฉลาดจะใกล้เคียงกับค่าไฟฟ้า (เช่น การรันคำถาม ChatGPT ใช้พลังงานเพียง 0.34 วัตต์-ชั่วโมง) ตามการคาดการณ์ของ Bain & Company หุ่นยนต์มนุษยรูปจะมีต้นทุนเทียบเท่าค่าแรงมนุษย์ภายในห้าปี

หุ่นยนต์ในบ้าน: ความจำเป็นแห่งอนาคต เพื่อนๆ ครับ ภายในทศวรรษหน้า หุ่นยนต์มนุษย์จะกลายเป็นสิ่งจำเป็นในครัวเรือนเหมือนสมาร์ทโฟนหรือเครื่องล้างจาน โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ เมื่อโลกมนุษย์ กำลังเดินเข้าสูงสังคมแห่งคนสูงวัย อีกทั้งอัตราการเกิดน้อยลง ผู้หญิงจำต้องตัดสินใจขึ้นคาน ความจำเป็นของแรงงานถือเป็นหนึ่งในปัจจัยตัวเร่ง ให้สังคมหุ่นยนต์จะเริ่มจริงจังขึ้น

การดูแลผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มที่นำหุ่นยนต์มาใช้มากที่สุด เนื่องจากหุ่นยนต์สามารถช่วยทำอาหาร ทำความสะอาด ยกของ หรือดูแลสุขภาพ ตัวอย่างเช่น: Meela.ai พัฒนา AI ที่โทรหาผู้สูงอายุเพื่อพูดคุยและตรวจสอบสุขภาพ โดยการทดสอบในนิวยอร์กพบว่าผู้ใช้มีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชนมากขึ้น หรือ หุ่นยนต์อย่าง Optimus ของ Tesla ซึ่งมีราคาเป้าหมายที่ 10,000 ดอลลาร์ จะถูกกว่าการจ้างผู้ดูแลเต็มเวลาในระยะยาว ทำให้เป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้ ปัญหาการขาดแคลนผู้ดูแลในปัจจุบัน เช่น การที่สถานดูแลผู้สูงอายุไม่สามารถให้การช่วยเหลืออย่างเพียงพอ ส่งผลให้หุ่นยนต์เป็นทางออกที่เชื่อถือได้มากกว่าในบางกรณี หุ่นยนต์สามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เหนื่อยล้าหรือเสียสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันสามารถแก้ปัญหาความเหงา ให้แก่ผู้สูงวัย ที่ชอบพูดคุยซ้ำ หรือ อัลไซเมอร์ ได้เป็นอย่างดี ความเหงาเป็น “โรคระบาดเงียบ” โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่อยู่อาศัยเพียงลำพัง ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงขึ้น AI และหุ่นยนต์สามารถช่วยบรรเทาความเหงาได้ เช่น การพูดคุยหรือแนะนำให้ติดต่อครอบครัว แม้จะไม่สามารถทดแทนความสัมพันธ์ของมนุษย์ได้ แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยเติมเต็มช่องว่าง ไม่เพียงแต่ผู้สูงวัย ทั้งหญิงและชาย จะได้มีเพื่อนคุย แต่ยังอาจจะเป็นเพื่อนนอน คู่ใจ ในแบบและสไตล์ ที่เราต้องการด้วย ๕๕๕๕๕๕

โอกาสการลงทุนในยุคหุ่นยนต์ การเติบโตของหุ่นยนต์มนุษยจะสร้างตลาดมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ Morgan Stanley คาดการณ์ว่าตลาดหุ่นยนต์มนุษย์จะมีมูลค่า 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2050 โดยมีการติดตั้งหุ่นยนต์กว่า 1 พันล้านตัวทั่วโลกและ Goldman Sachs ถึงกับต้อง ปรับประมาณการการจัดส่งหุ่นยนต์ในปี 2035 สูงขึ้น 4 เท่าจากเดิม เนื่องจากความก้าวหน้าใน AI และการลดต้นทุนการผลิต นี่เราพิจารณาในแง่ของครัวเรือน ครับ เรายังไม่ได้ พิจารณาในแง่ของยุทธศาสตร์ทางทหารเลย

บริษัทที่เป็นผู้นำส่วนใหญ่มักเป็นบริษัทเอกชน เช่น Figure AI หรือ Agility Robotics แต่บริษัทมหาชนอย่าง Tesla และ NVIDIA เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ: Tesla กับ Optimus มีเป้าหมายผลิตหุ่นยนต์ในราคาที่เข้าถึงได้ หรือ NVIDIA พัฒนาชิป AI และแพลตฟอร์มอย่าง GROOT เพื่อเร่งการพัฒนาหุ่นยนต์มนุษย์ นอกจากนี้ บริษัทที่ผลิตส่วนประกอบ เช่น เซ็นเซอร์, ตัวขับเคลื่อน (actuators), หรือซอฟต์แวร์ AI จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตนี้ การลงทุนในบริษัทเหล่านี้เปรียบเสมือน “การขายจอบและเสียมในยุคตื่นทอง” อย่างไรอย่างนั้นครับ

ความท้าทายและความรับผิดชอบ เพื่อนๆ ครับ การก้าวสู่ Gentle Singularity และยุคหุ่นยนต์ มันจะมาพร้อมกับความท้าทาย อาทิ เช่น ความปลอดภัยของ AI และหุ่นยนต์ การพัฒนาต้องมีการ “จัดตำแหน่ง” (alignment) เพื่อให้ AI และหุ่นยนต์ทำตามเป้าหมายของมนุษย์และไม่ก่อผลเสีย เช่น การออกแบบที่ป้องกันการใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของมนุษย์ เราต้องมีการกระจายโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน เพราะ หุ่นยนต์และ AI จะต้องไม่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มเล็กๆ แต่ควรเป็นเครื่องมือที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพื่อให้ผลประโยชน์กระจายอย่างทั่วถึง สังคมในโลกมนุษย์จำเป็นต้องมีการปรับตัว เพราะงานบางอาชีพอาจหายไป แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถปรับตัวได้ สังคมที่ร่ำรวยขึ้นจะสร้างโอกาสใหม่ และมนุษย์จะหาวิธีใช้หุ่นยนต์เพื่อสร้างสิ่งที่มีคุณค่า

มนุษย์ในยุคแห่งความฉลาดยิ่งยวด มนุษย์มีข้อได้เปรียบเหนือ AI และหุ่นยนต์: ความสามารถในการใส่ใจผู้อื่นและสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย ในอนาคต งานที่เราทำอาจดู “ไร้สาระ” สำหรับคนในอดีต แต่จะมีความสำคัญสำหรับเรา สิ่งที่แน่นอนคือ เราจะยังคงแสวงหาความหมายและความพึงพอใจในชีวิต

ศิษย์ สุมาเต็กโซ

แบ่งปันบทความนี้