Search
Close this search box.

ภาษีการรับมรดกและภาษีการให้ในประเทศไทย (ปรับปรุง) ตอนที่ 3

เราจะมาคุยกันต่อเกี่ยวกับภาษีการให้ กฎหมายนี้ นำมาใช้ในกรณีที่เจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ และมีความประสงค์จะโอน หรือ ให้ทรัพย์สินแก่ทายาท หรือ บุคคลอื่น ก่อนที่จะเสียชีวิต

ภาษีการให้ (Gift Tax) เป็นเครื่องมือทางภาษีที่มีความสำคัญในระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมและจัดเก็บภาษีจากการโอนทรัพย์สินโดยสมัครใจโดยไม่ได้รับผลตอบแทนหรือได้รับผลตอบแทนต่ำกว่ามูลค่าตลาด ซึ่งอาจเป็นช่องทางในการหลบเลี่ยงภาระภาษีประเภทอื่น เช่น ภาษีการรับมรดกหรือภาษีเงินได้. ในประเทศไทย แม้ว่าจะยังไม่มีกฎหมายภาษีการให้ที่แยกเฉพาะออกมาเหมือนในบางประเทศ แต่การโอนทรัพย์สินในลักษณะการให้อาจอยู่ภายใต้บังคับของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามประมวลรัษฎากร โดยมีหลักเกณฑ์ ข้อยกเว้น และการลดหย่อนที่กำหนดไว้ เพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและป้องกันการใช้ช่องว่างทางกฎหมาย. การทำความเข้าใจหลักการและเงื่อนไขของภาษีการให้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งผู้ให้และผู้รับทรัพย์สิน เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

ภาษีการให้ (ทบทวนและปรับปรุง)

ภาษีการให้เป็นภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลที่ได้รับทรัพย์สินโดยการให้โดยเสน่หา (การให้โดยไม่ได้รับผลตอบแทน) ในระหว่างที่ผู้ให้ยังมีชีวิตอยู่ หลังจากการทบทวน พบว่ามีความแตกต่างสำคัญในเกณฑ์มูลค่าทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษี ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับ ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสน

ภาษีการให้ ได้กำหนดประเภทของผู้เสียภาษี ดังนี้

  • บุคคลธรรมดา ที่ได้รับทรัพย์สินจากการให้ เช่น การโอนที่ดิน หุ้น หรือเงิน ไม่ว่า จะเป็นอสังหาริมทรัพย์ หรือ สังหาริมทรัพย์
  • นิติบุคคล ไม่ต้องเสียภาษีการให้ เนื่องจาก ไม่มีกฎหมายภาษีการให้เฉพาะ: ปัจจุบัน (ข้อมูลถึงปี 2025) ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายภาษีการให้ (Gift Tax) ที่แยกออกมาเป็นการเฉพาะเหมือนในบางประเทศ การโอนทรัพย์สินโดยการให้ จึงถูกพิจารณาภายใต้กรอบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีอื่น ๆ ซึ่งใช้กับบุคคลธรรมดาเป็นหลัก ส่วนนิติบุคคล นั่นอยู่ภายใต้ภาษีเงินได้นิติบุคคล: การโอนทรัพย์สินของนิติบุคคล (เช่น การให้ทรัพย์สินหรือบริจาค) จะถูกพิจารณาภายใต้ภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร อย่างไรก็ตาม หากนิติบุคคลซึ่งเป็นผู้ให้ทรัพย์สิน โดยไม่ได้รับผลตอบแทน อาจถือเป็นรายจ่ายที่ไม่สามารถหักได้ ก็ได้ หรือต้องคำนวณเป็นรายได้ในบางกรณี แต่ไม่จัดเป็น “ภาษีการให้” โดยตรง ข้อยกเว้นสำหรับการบริจาค: หากนิติบุคคลบริจาคทรัพย์สินให้แก่องค์กรการกุศลหรือหน่วยงานที่ได้รับการยกเว้นภาษีตามกฎหมาย (เช่น มูลนิธิหรือองค์กรสาธารณประโยชน์) อาจได้รับสิทธิหักรายจ่ายจากการบริจาคได้ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งทำให้ไม่เกิดภาระภาษีเพิ่มเติมในลักษณะภาษีการให้

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือกรณีเฉพาะ แนะนำให้ปรึกษากรมสรรพากรหรือที่ปรึกษาด้านภาษี

  • ภาษีการให้นั้นจะ ครอบคลุมทั้ง คนไทย และ ชาวต่างชาติ ที่ได้รับทรัพย์สินในประเทศไทย

ส่วนทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษี โดยแบ่งประเภทใหญ่ ก็อาจจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. อสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ตามหลักของกฎหมาย คือ ทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ในกรณีนี้ก็คือ ที่ดิน สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น อาคาร บ้านเรือน โดยกฎหมายกำหนดให้ “ผู้รับ หรือ ผู้รับโอน” อสังหาริมทรัพย์เป็นผู้เสียภาษีการรับให้ โดยจะแบ่งย่อยออกได้ 2 กรณี ดังนี้

1.1 กรณีที่บิดาหรือมารดาให้อสังหาริมทรัพย์แก่บุตรชอบด้วยกฎหมาย

มูลค่าไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปีภาษี: หากอสังหาริมทรัพย์ที่ให้แก่บุตร (ผู้สืบสันดาน) มีมูลค่าตามราคาประเมินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อปีภาษี ผู้รับ (บุตร) จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในส่วนนี้ ทั้งจำนวน. ซึ่งหมายความว่า ไม่มีภาระภาษี สำหรับทั้งผู้ให้และผู้รับในกรณีนี้

มูลค่าเกิน 20 ล้านบาท: หากมูลค่าตามราคาประเมินของอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เกิน 20 ล้านบาทต่อปีภาษี ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตรา 5% (หรือเลือกนำไปคำนวณรวมกับเงินได้อื่นตามอัตราภาษีก้าวหน้า) โดยภาระภาษีนี้ตกอยู่ที่ ผู้รับ (บุตร) ไม่ใช่ผู้ให้.

หมายเหตุ: ผู้ให้ (เช่น พ่อแม่) ไม่ต้องเสียภาษี ในกรณีการให้ทรัพย์สินโดยเสน่หา เพราะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะพิจารณาที่ ผู้รับ เท่านั้น ตามที่ระบุในประมวลรัษฎากร. ข้อสังเกต เกี่ยวกับกฏเกณฑ์การกำหนดราคาประเมินของอสังหาริมทรัพย์ มีอยู่ว่า ราคาประเมินของอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการคำนวณภาษีในกรณีนี้ หมายถึง ราคาประเมินทุนทรัพย์ ซึ่งกำหนดโดย กรมธนารักษ์ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น สำนักงานที่ดิน) ดังนี้:

  • ราคาประเมินทุนทรัพย์:
    • เป็นราคากลางที่รัฐบาลกำหนดสำหรับอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษี ค่าธรรมเนียมการโอน และอากรแสตมป์.
    • ราคานี้จะพิจารณาจากทำเลที่ตั้ง ขนาดที่ดิน ลักษณะสิ่งปลูกสร้าง และปัจจัยอื่น ๆ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ (เช่น รถไฟฟ้า ถนน).
    • กรมธนารักษ์จะมีการปรับปรุงราคาประเมินทุก 4 ปี หรือตามความเหมาะสม โดยสามารถตรวจสอบราคาประเมินได้ผ่านเว็บไซต์ของกรมธนารักษ์ หรือที่สำนักงานที่ดิน
  • การใช้ราคาประเมิน: ในกรณีการให้อสังหาริมทรัพย์ ราคาประเมินนี้จะถูกใช้เป็นฐานในการคำนวณมูลค่าทรัพย์สินเพื่อพิจารณาว่าอยู่ในเกณฑ์ยกเว้นภาษี (ไม่เกิน 20 ล้านบาท) หรือต้องเสียภาษี (ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท).
  • ความแตกต่างจากราคาตลาด: ราคาประเมินมักจะ ต่ำกว่าราคาตลาด หรือราคาซื้อขายจริงที่ตกลงกันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย เนื่องจากราคาตลาดขึ้นอยู่กับการประเมินของเอกชนหรือความต้องการในพื้นที่ ซึ่งอาจสูงกว่าราคาประเมินของรัฐ.
  • ข้อหารือกรมสรรพากร:
    • ข้อหารือที่เกี่ยวข้อง เช่น 0706/3025 หรือข้อหารืออื่น ๆ ที่ระบุถึงการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการรับอสังหาริมทรัพย์โดยเสน่หา มักยืนยันว่าใช้ ราคาประเมินของกรมธนารักษ์ เป็นเกณฑ์ในการคำนวณมูลค่าทรัพย์สิน และยึดเกณฑ์ยกเว้น 20 ล้านบาทสำหรับการให้ระหว่างบุพการี-ผู้สืบสันดาน.
    • ตัวอย่าง: ข้อหารือทั่วไปของกรมสรรพากร (เช่น ในเอกสารที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ www.rd.go.th) ระบุว่า การโอนอสังหาริมทรัพย์โดยการให้ต้องใช้ราคาประเมินที่กำหนดโดยหน่วยงานรัฐ (กรมธนารักษ์หรือสำนักงานที่ดิน) เพื่อประเมินภาระภาษีของผู้รับ.
  • ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร:
    • ประกาศที่เกี่ยวข้อง เช่น ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 161) หรือฉบับอื่น ๆ อาจระบุหลักเกณฑ์การคำนวณเงินได้พึงประเมินจากการรับทรัพย์สินโดยเสน่หา ซึ่งยืนยันเกณฑ์ยกเว้น 20 ล้านบาทสำหรับการให้แก่บุตร และการเสียภาษี 5% สำหรับส่วนที่เกิน.

คำสั่งกรมสรรพากร ป.100/2543: ระบุถึงการโอนอสังหาริมทรัพย์ในบางกรณี รวมถึงการให้โดยเสน่หา โดย

1.2 กรณีอื่น กรณีที่เป็นการให้บุคคลอื่นนอกเหนือจากบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายก็จะไม่มีข้อยกเว้นตามกฎหมายใดๆ ผู้รับก็จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราปกติ 5% – 35%

2. สังหาริมทรัพย์. สังหาริมทรัพย์ตามหลักของกฎหมายก็คือ ทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนที่ได้ เช่น หุ้น พันธบัตร หน่วยลงทุนกองทุนรวม เงินสด รถยนต์ เครื่องประดับ โดยกฎหมายกำหนดให้ “ผู้รับ” สังหาริมทรัพย์เป็นผู้เสียภาษีการรับให้ โดยจะแบ่งย่อยออกได้ 3 กรณี ดังนี้

2.1 การให้ระหว่างบุพการี (บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด) และผู้สืบสันดาน (ลูก หลาน เหลน ลื่อ) หรือ การให้ระหว่างคู่สมรส การให้ในกรณีนี้ผู้รับจะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทต่อปี ภาษีในอัตรา 5% ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำแนะนำจากที่ปรึกษาในด้านการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งที่จะแนะนำให้ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ปีละไม่เกิน 20 ล้านบาทเพื่อบริหารจัดการภาษีการรับให้. โดยการจะดูว่าเกิน 20 ล้านบาทหรือไม่นั้นกฎหมายจะให้ดูที่ตัวผู้รับ ยกตัวอย่างเช่น คุณพ่อได้ให้เงินแก่ นาย ก. ซึ่งเป็นลูกไปแล้ว 18 ล้านบาท และในปีเดียวกันคุณปู่ได้ให้เงินแก่นาย ก. อีก 10 ล้านบาท ในกรณีนี้ นาย ก. จะถือว่าได้รับสังหาริมทรัพย์จากบุพการีทั้ง 2 ท่านคือคุณพ่อและคุณปู่ 28 ล้านบาท ในตัวอย่างนี้ นาย ก. จะเสียภาษีเท่ากับ 400,000 บาท ซึ่งคำนวณจากภาษีการรับให้ในอัตรา 5% จาก 8 ล้านบาท โดย 8 ล้านบาทก็คือส่วนที่เกิน 20 ล้านบาทนั่นเอง

2.2 การให้ตามหน้าที่ธรรมจรรยาหรือการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งธรรมเนียมประเพณี

สำหรับกรณีนี้จะไม่ได้กำหนดตัวผู้รับและผู้ให้เหมือนอย่างกรณี 2.1 แต่จะดูตามวาระโอกาสหรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา โดยผู้รับจะต้องเสียภาษีในส่วนที่เกิน 10 ล้านบาทต่อปีภาษีในอัตรา 5% ตัวอย่างเช่น ในงานแต่งงานของหลาน ป้า ซึ่งไม่ถือว่าเป็นบุพการีได้ให้เงิน 6 ล้านบาท และให้ทองมูลค่า 5 ล้านบาทแก่หลาน ในตัวอย่างนี้หลานจะต้องเสียภาษีเท่ากับ 50,000 บาท ซึ่งคำนวณจากภาษีการรับให้ในอัตรา 5% จาก 1 ล้านบาท โดย 1 ล้านบาทก็คือส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท หากเปลี่ยนผู้ให้เป็นคุณย่าซึ่งเป็นบุพการีให้สังหาริมทรัพย์ดังกล่าวแก่หลาน ในกรณีนี้จะเข้าตาม ข้อ 2.1 ตามรายละเอียดข้างต้น หลานจึงไม่ต้องเสียภาษีการรับให้เพราะว่าสังหาริมทรัพย์ที่หลานได้รับไม่เกิน 20 ล้านบาท

2.3 กรณีอื่น กรณีที่ไม่เข้าข้อ 2.1 และ 2.2 ผู้รับก็จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราปกติ 5% – 35%

เกณฑ์มูลค่าที่ต้องเสียภาษี. พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดกและการให้ พ.ศ. 2558 กำหนดว่าเกณฑ์มูลค่าทรัพย์สินสำหรับภาษีการให้แตกต่างจากภาษีการรับมรดก ดังนี้:

  • ทรัพย์สินที่ได้รับจากการให้ในแต่ละปีปฏิทินต้องเสียภาษีเมื่อมีมูลค่า เกินเกณฑ์ที่กำหนด ดังนี้:
    • เกิน 20 ล้านบาทต่อปี สำหรับการให้แก่ บุพการี (พ่อแม่) หรือ ผู้สืบสันดาน (บุตร หลาน)
    • เกิน 10 ล้านบาทต่อปี สำหรับการให้แก่ บุคคลอื่น ที่ไม่ใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดาน
  • มูลค่าทรัพย์สินคำนวณจาก ราคาประเมิน (สำหรับอสังหาริมทรัพย์) หรือ มูลค่าตลาด (สำหรับทรัพย์สินอื่น ๆ) ณ วันที่ได้รับ

อัตราภาษี

  • 5% สำหรับผู้รับที่เป็น บุพการี หรือ ผู้สืบสันดาน (คำนวณจากส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท)
  • 10% สำหรับผู้รับที่ไม่ใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดาน (คำนวณจากส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท)

ข้อยกเว้น

  • ทรัพย์สินที่ได้รับมูลค่า ไม่เกิน 20 ล้านบาท (สำหรับบุพการี/ผู้สืบสันดาน) หรือ ไม่เกิน 10 ล้านบาท (สำหรับบุคคลอื่น)
  • การให้แก่ คู่สมรส ที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
  • การให้เพื่อ การกุศล การศึกษา หรือ ศาสนา ที่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย
  • การให้แก่ หน่วยงานของรัฐ หรือ องค์กรสาธารณกุศล
  • ทรัพย์สินที่อยู่นอกประเทศไทยและผู้ให้ไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย

ความแตกต่างสำคัญและคำชี้แจง ระหว่างภาษีการรับมรดก และ ภาษีการให้

  • เกณฑ์มูลค่า: ภาษีการรับมรดกใช้เกณฑ์ 100 ล้านบาท ส่วนภาษีการให้ใช้เกณฑ์ 20 ล้านบาท (สำหรับบุพการี/ผู้สืบสันดาน) หรือ 10 ล้านบาท (สำหรับบุคคลอื่น) ซึ่งต่ำกว่ามาก ทำให้ภาษีการให้มีโอกาสถูกเรียกเก็บบ่อยกว่าในกรณีการโอนทรัพย์สินระหว่างมีชีวิต
  • วัตถุประสงค์: ภาษีการให้มุ่งป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีมรดกโดยการโอนทรัพย์สินก่อนเสียชีวิต

ผมหวังอย่างยิ่งว่า จะเป็นประโยชน์ในการวางแผนภาษีของท่านๆ ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ผมแนะนำว่าให้ปรึกษา ที่ปรึกษาทางภาษี หรือนักกฎหมาย ดีกว่านะ ครับ เพราะในแต่ละเรื่อง มักจะมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน ครับ และขอให้ท่านใช้วิจารณญาณในการพิจารณาเรื่องต่างๆ แม้ถึงข้อความในบทความนี้ ให้รอบคอบ อย่าเชื่อทุกสิ่ง จงเชื่อตัวท่านเองดีกว่าครับ

ศิษย์ สุมาเต็กโซ

แบ่งปันบทความนี้