Search
Close this search box.
ภาษีการรับมรดกและภาษีการให้ในประเทศไทย (ปรับปรุง) ตอนที่ 1

ภาษีการรับมรดกและภาษีการให้ในประเทศไทย (ปรับปรุง) ตอนที่ 1

วันนี้ผมอยากจะมาพูดคุยกับเพื่อนๆ ในเรื่องของมรดก และภาษีที่เกี่ยวข้องกันหน่อยครับ

ตามพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดกและการให้ พ.ศ. 2558 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีจากบุคคลที่ได้รับทรัพย์สินจากมรดก ในกรณีที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายแล้ว ซึ่งจะเรียกว่า “ภาษีการับมรดก” ส่วนอีกกรณี คือ ในขณะที่เจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ ก็อาจจะพิจารณาให้ทรัพย์สินของตนเองกับทายาท นั่นคือ การให้โดยเสน่หาในประเทศไทย ก็จะก่อให้เกิดภาระภาษีเช่นกัน เรียกว่า “ภาษีการให้”

ภาษีทั้งสองประเภทนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐและส่งเสริมความโปร่งใสในการโอนทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม เกณฑ์และข้อยกเว้นของ ภาษีการรับมรดก และ ภาษีการให้ อาจสร้างความสับสนได้ เนื่องจากมีการกำหนดมูลค่าทรัพย์สินที่แตกต่างกันตามความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับ ผมจึงขอถือโอกาสนี้ ให้รายละเอียดที่ถูกต้องและครบถ้วนเกี่ยวกับภาษีทั้งสองประเภท ก็หวังว่าจะมีประโยชน์ สำหรับเพื่อนๆครับ

เพื่อมิให้เสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

ก่อนเริ่มเข้าเนื้อหา ผมอยากจะให้เพื่อนๆ ทราบก่อนว่า เมื่อเจ้ามรดกเสียชีวิต ทรัพย์สินของเขาจะตกทอดไปยังทายาททันที ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 ซึ่งระบุว่าเมื่อบุคคลถึงแก่ความตาย มรดกของผู้นั้นตกทอดแก่ทายาทโดยผลของกฎหมายทันที ไม่ต้องรอการดำเนินการใด ๆ เช่น การจดทะเบียนหรือการยื่นคำขอ อย่างไรก็ตาม แม้ทรัพย์สินจะตกทอดทันที แต่การจัดการหรือแบ่งปันมรดกอาจต้องใช้เวลา เช่น การตรวจสอบว่ามีทายาทคนใดบ้าง การจัดการหนี้สินของเจ้ามรดก หรือการจดทะเบียนโอนทรัพย์สิน (เช่น อสังหาริมทรัพย์) ซึ่งต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป เช่น การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก หรือการตกลงแบ่งมรดกระหว่างทายาท ในประเด็นนี้ ก็มีคำพิพากษาศาลฏีกา วางบรรทัดฐานไว้ชัดเจน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3329/2567 ซึ่งยืนยันหลักการว่าทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาททันทีเมื่อเจ้ามรดกเสียชีวิต ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 บริบทแห่งคดี คือ ศาลฎีกาย้ำหลักการตาม มาตรา 1599 ว่าเมื่อเจ้ามรดก (นายประหยัด) ถึงแก่ความตาย ทรัพย์มรดกทั้งหมดตกทอดแก่ทายาทโดยผลของกฎหมายทันที โดยไม่ต้องรอการจดทะเบียนหรือการดำเนินการอื่นใด ทายาททุกคนมีสิทธิครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกันตั้งแต่เจ้ามรดกเสียชีวิต การจัดการทรัพย์มรดก เช่น การโอนที่ดินหรือการทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์มรดก ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของกองมรดกและทายาททุกคน การกระทำใด ๆ ที่เป็นการยักย้ายหรือทำให้ทายาทอื่นเสียประโยชน์ ถือว่าผิดกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 987/2554 คำพิพากษานี้ยืนยันว่าทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาททันทีเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ตามมาตรา 1599 และทายาททุกคนมีสิทธิในทรัพย์มรดกร่วมกัน ผู้จัดการมรดกมีหน้าที่รวบรวมและแบ่งทรัพย์มรดกให้ทายาทตามกฎหมาย การที่ผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์มรดกเป็นของตนเองโดยไม่แบ่งให้ทายาทถือเป็นการยักยอก ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าทรัพย์มรดกเป็นของทายาททันทีเมื่อเจ้ามรดกเสียชีวิต และการกระทำของผู้จัดการมรดกที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 และ 354

ผมขอให้เพื่อนๆ จำแนวทางของคำพิพากษานี้ ที่เน้นย้ำว่าทรัพย์มรดกตกทอดทันที และทายาทมีสิทธิครอบครองร่วมกันตั้งแต่เจ้ามรดกเสียชีวิต โดยไม่ต้องรอการแบ่งปัน เพราะ จุดนี้จะนำมาพิจารณาว่า ภาระภาษีของการรับมรดก จะเกิดขึ้นในเวลาใด

เอาละครับ ผมขอเข้าประเด็นที่ต้องการคุยกันเลยครับ

1. ภาษีการรับมรดก

ภาษีการรับมรดก คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลที่ได้รับทรัพย์สินจากมรดกเมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต เพื่อนๆ คงต้องตระหนักไว้ว่า ภาษีการับมรดกนี้จะจัดเก็บก็ต่อเมื่อบุคคลนั่น ที่ได้รับทรัพย์สินจากมรดก แม้ว่า ทรัพย์มรดกจะตกทอดมายังทายาททันที ก็มิใช่หมายถึงว่า ภาระภาษีจะเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิต ดังนั้น หากทายาทแม้จะมีสิทธิก็ตาม แต่ยังมิได้แสดงเจตนาที่จะเข้ารับมรดก ภาระภาษียังไม่เกิดขึ้น ครับ ประเด็นนี้ สำคัญมาก นะ ครับ เพราะ ข้อกำหนดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และข้อกำหนดของประมวลรัษฏากร นั้น มีข้อกำหนดที่แตกต่างกันในประเด็นนี้

ใครมีหน้าทีผู้เสียภาษี บุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดก คือ

  • บุคคลธรรมดา เช่น คู่สมรส บุตร พ่อแม่ หรือทายาทตามกฎหมาย
  • นิติบุคคล ไม่ต้องเสียภาษีการรับมรดก
  • ครอบคลุมทั้ง คนไทย และ ชาวต่างชาติ ที่ได้รับมรดกจากทรัพย์สินในประเทศไทย หรือจากผู้มอบมรดกที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
    ในส่วนนี้ เพื่อนๆ อาจจะมีคำถามว่า ทำไม่ นิติบุคคล จึง ไม่เสียภาษีการรับมรดกตาม พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 คำตอบง่ายๆ คือ เนื่องจากกฎหมายนี้กำหนดให้เฉพาะ บุคคลธรรมดา เท่านั้นที่มีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดกเมื่อได้รับมรดกที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาทจากเจ้ามรดกแต่ละราย ส่วนนิติบุคคล เช่น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ไม่ถูกกำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีประเภทนี้ เหตุผลที่นิติบุคคลไม่เสียภาษีการรับมรดก ก็เพราะ ขอบเขตของกฎหมายภาษีการรับมรดก ตาม มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 ผู้มีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดกจำกัดเฉพาะ บุคคลธรรมดา ดังนี้:
  • บุคคลที่มีสัญชาติไทย
  • บุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
  • บุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่ได้รับมรดกที่เป็นทรัพย์สินในประเทศไทย

นิติบุคคลไม่ถูกระบุในขอบเขตของผู้มีหน้าที่เสียภาษีนี้ ดังนั้นจึงไม่ต้องเสียภาษีการรับมรดก และอีกประการหนึ่ง คือ วัตถุประสงค์ของภาษีการรับมรดก ภาษีการรับมรดกมีเป้าหมายเพื่อเก็บภาษีจากบุคคลธรรมดาที่ได้รับทรัพย์สินมรดกที่มีมูลค่าสูง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคม แต่นิติบุคคล เช่น บริษัทหรือองค์กร ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของการลดความเหลื่อมล้ำนี้ เนื่องจากนิติบุคคลมีภาระภาษีอื่น เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิหรือรายได้ตาม ประมวลรัษฎากร

ดังนั้น หากนิติบุคคลได้รับทรัพย์สินที่อาจตีความว่าเป็นมรดก (เช่น การรับโอนทรัพย์สินจากเจ้ามรดกโดยพินัยกรรม) ทรัพย์สินนั้นจะถูกพิจารณาเป็น รายได้ ของนิติบุคคล และอาจต้องเสีย ภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามประมวลรัษฎากร แทนการเสียภาษีการรับมรดก ตัวอย่าง เช่น : หากบริษัทได้รับที่ดินเป็นมรดก มูลค่าของที่ดินอาจถูกนำมาคำนวณเป็นรายได้หรือกำไร ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 20% (หรือน้อยกว่าตามเงื่อนไข SMEs) ในบางกรณี หากนิติบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลไทย แต่มีผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหารที่เป็นคนไทยเกิน 50% และได้รับมรดกที่เป็นทรัพย์สินในประเทศไทย อาจมีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดกเฉพาะทรัพย์สินในไทย อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เป็นข้อยกเว้นที่เกิดขึ้นน้อยมาก และมักไม่ครอบคลุมนิติบุคคลทั่วไปที่จดทะเบียนในไทย

ทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษี มีประเภทอะไรบ้าง

  • อสังหาริมทรัพย์ (เช่น ที่ดิน บ้าน คอนโดมิเนียม)
  • หลักทรัพย์ (เช่น หุ้น ตราสารหนี้)
  • เงินฝากธนาคาร
  • ยานพาหนะที่จดทะเบียน (เช่น รถยนต์)
  • ทรัพย์สินทางการเงินอื่น ๆ ที่มีมูลค่า

เกณฑ์มูลค่าที่ต้องเสียภาษี : มรดกที่มีมูลค่า เกิน 100 ล้านบาท ต่อการรับมรดกจากผู้มอบมรดกหนึ่งคน. มูลค่าทรัพย์สินคำนวณจาก ราคาประเมิน (สำหรับอสังหาริมทรัพย์) หรือ มูลค่าตลาด (สำหรับทรัพย์สินอื่น ๆ) ณ วันที่ได้รับมรดก. โดยใช้อัตราภาษี ดังนี้

  • 5% สำหรับผู้รับที่เป็น บุพการี (พ่อแม่) หรือ ผู้สืบสันดาน (บุตร หลาน)
  • 10% สำหรับผู้รับที่ไม่ใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดาน (เช่น ญาติห่าง ๆ หรือบุคคลอื่น)
  • คำนวณจากส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท

ข้อยกเว้น คือ

  • มรดกที่มีมูลค่า ไม่เกิน 100 ล้านบาท
  • มรดกที่ได้รับโดย คู่สมรส ที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
  • มรดกที่ตกทอดไปยัง หน่วยงานของรัฐ หรือ องค์กรสาธารณกุศล ที่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย
  • ทรัพย์สินที่ตั้งอยู่นอกประเทศไทยและผู้มอบมรดกไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย

ศิษย์ สุมาเต็กโซ

แบ่งปันบทความนี้