ทองคำเพิ่งทำสถิติราคาสูงสุดใหม่ตลอดกาล (เกิน 3,000 USD/ทรอยด์ออนซ์) ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า นี่เป็นสัญญาณเตือนวิกฤตเศรษฐกิจ หรือแค่โอกาสทำกำไรในตลาด? นักวิเคราะห์ทั่วโลกมีมุมมองแตกต่างกัน บางส่วนเชื่อว่าทองคำกำลังส่งสัญญาณภัยเศรษฐกิจ ในขณะที่บางกลุ่มมองว่าเป็นผลจากปัจจัยพื้นฐานและความต้องการของตลาด แต่โดยปกติทองคำมักจะมากับประวัติศาสตร์การทำนายวิกฤต นักวิเคราะห์หลายคนชี้ว่า ทองคำมักพุ่งแรงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในหลายครั้ง เช่น ใน ปี 2008 ทองคำขึ้น 50% ใน 6 เดือน ก่อนวิกฤต Lehman Brothers, ในปี 1973-1974 ทองคำเพิ่มขึ้น 150% ก่อนภาวะเงินเฟ้อรุนแรงและวิกฤตน้ำมัน และในปี 1980 ราคาทองคำแตะจุดสูงสุดก่อนเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ
แต่ความเห็นของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ เชื่อว่าทองคำเป็น Safe Haven เมื่อความเสี่ยงสูง นักลงทุนมักซื้อทองเมื่อกังวลเรื่องวิกฤตการเงิน สงคราม หรือเงินเฟ้อ แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่ทองคำขึ้นแล้วเศรษฐกิจพัง เพราะ บางช่วงทองคำขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดที่เพิ่ม (เช่น ธนาคารกลางจีน-อินเดียซื้อทองมาก)
ปัจจัยที่กำลังขับเคลื่อนทองคำปี 2024 นั้นมาจากหลายสาเหตุ แต่สรุปได้ว่า
- ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลก สัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มอ่อนแรง, ข้อมูลการจ้างงานและภาคอสังหาฯ ชะลอตัว พร้อมกับวิกฤตหนี้โลก ที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ทำให้หลายประเทศกำลังเผชิญภาระหนี้สูง และ ดอกเบี้ยยังคงสูง ในบางประเทศ อีกสาเหตุหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ คือ สงครามการค้าและภูมิรัฐศาสตร์ ความตึงเครียดสหรัฐ-จีน, สงครามยูเครน-รัสเซีย และสงครามการค้าในหลายประเทศ
- นโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย มีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะลดดอกเบี้ย สิ่งนี้จะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า และทองคำ(ซึ่งซื้อขายด้วย USD)แข็งขึ้น(นั่นคือ ได้เนื้อทองมากขึ้น) อีกทั้งธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรอง โดยเฉพาะจีน, รัสเซีย, อินเดีย ที่ไม่แน่ใจในเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เศรษฐกิจของสหรัฐฯ
- ความเชื่อมั่นผู้บริโภคตกต่ำ แม้ตลาดหุ้นสหรัฐ (S&P 500) จะแข็งแกร่ง แต่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำสุดในรอบ 10 ปี (ใกล้เคียงปี 2008) ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าค่าครองชีพสูง แม้ข้อมูล GDP และตลาดงานจะยังดีอยู่ก็ตาม
ในประเด็นนี้ที่ว่า ทองคำกำลังส่งสัญญาณเตือนวิกฤตเศรษฐกิจ หรือแค่โอกาสทำกำไรในตลาด? นักวิเคราะห์แบ่งเป็น 2 ค่ายใหญ่
ค่ายที่ 1: “ทองคำเตือนวิกฤตต้องระวังนักลงทุนสถาบัน อย่างเช่น Ray Dalio (Bridgewater) แนะให้ถือทองคำ 10-15% ของพอร์ต เพื่อป้องกันความเสี่ยง
ส่วนค่ายที่ 2: “ทองคำขึ้นเพราะความต้องการ ไม่ใช่แค่ความกลัว” JP Morgan, Citi ชี้ว่าทองคำกำลังได้ประโยชน์จากปัจจัยพื้นฐาน เช่น การซื้อทองของธนาคารกลาง ในปี 2023-2024 ซื้อมากที่สุดในประวัติศาสตร์ นักลงทุนรายย่อยในจีน-อินเดียแห่ซื้อทอง เนื่องจากความไม่แน่นอนในตลาดหุ้นและอสังหาฯ อีกทั้ง บางส่วนมองว่า “ทองคำอาจปรับฐานในระยะสั้น แต่แนวโน้มยาวยังบวก
ในสถานการณ์เช่นนี้ นักลงทุนควรทำอย่างไร?
- ถือทองคำเป็น Hedge ต่อความเสี่ยง เช่นอย่างน้อย ต้องมี 5-15% ของพอร์ตเพื่อป้องกันวิกฤต การเลือก ควรเป็นทองคำแท่ง, ETF ทองคำ (เช่น GLD), หรือหุ้นเหมืองทอง หรือ
- อย่าตื่นตระหนกขายทุกอย่างเพื่อซื้อทอง คิดผิดครับ เพราะทองคำมีความผันผวนสูง เช่นกัน และอาจปรับตัวลงหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ลดดอกเบี้ยตามคาด ตลาดหุ้นอาจโตต่อได้ แม้ทองคำขึ้น (เช่น ช่วง 2010-2011 ทองคำขึ้นแต่หุ้นก็แข็งแกร่ง) และ
- ติดตามปัจจัยสำคัญ อาทิ เช่น นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หากลดดอกเบี้ย ทองคำมีแนวโน้มแข็งต่อ ความตึงเครียด geopolitics สงครามหรือวิกฤตการเมืองอาจส่งให้ทองคำพุ่งอีก อีกทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคและตลาดแรงงาน เพราะ หากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอจริง ทองคำอาจเป็น Safe Haven จริงก็ได้ครับ
แม้ว่าทองคำกำลังส่งสัญญาณเตือน แต่ไม่ใช่จุดจบของตลาดหุ้น ในช่วง 3-6 เดือน – ทองคำอาจผันผวนจากข่าวเศรษฐกิจและดอกเบี้ย ในช่วง 1-3 ปี – หากวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้น ทองคำอาจเป็นสินทรัพย์ที่ชนะทุกอย่าง ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ “กระจายความเสี่ยง” ไม่ทุ่มทั้งหมดไปที่ทองคำหรือหุ้น แต่ปรับพอร์ตให้สมดุลตามสถานการณ์ โปรดจำไว้ว่า “ทองคำคือหลักประกันภัย ไม่ใช่เครื่องมือทำกำไรระยะสั้น” นักลงทุนควรใช้มันเพื่อป้องกันความเสี่ยง ไม่ใช่การเดิมพันว่าวิกฤตจะมาเมื่อไหร่
ศิษย์ สุมาเต็กโซ