“เมื่อคืนฝันเรื่องลงทุน … ตื่นมาก็ยังคิดไม่หยุด เลยอยากชวนทุกคนมามอง ‘สัญญาณเตือน’ ที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดโลกตอนนี้”
เพื่อนๆ เชื่อหรือไม่ว่า เมื่อคืน ผมนอนฝันเรื่องการลงทุน ในความฝันก็นึกถึงสัญญาณเตือนภัย เรื่อง พันธบัตรรัฐบาลต่างๆ และก็นึกถึงการโยกเงินจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง รวมทั้ง การไหลของเงินที่เขามายังพันธบัตรรัฐบาลไทยในช่วงนี้ ผมคิดว่า ผมคงต้องพักสักนิด เพราะ สมอง มันคิดแต่เรื่องเงินทอง ทั้งวัน ….พอตื่นขึ้นมาวันนี้ เจอ กราฟ ที่ผมส่งให้ … สมองก็หยุด คิดไม่ได้ จริงๆ ….
ผมอยากจะเล่าให้ฟัง ดังนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar Index – DXY) และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะ 10 ปี (10-year US yield) ซึ่งปกติแล้วจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน (ยิ่งผลตอบแทนสูง ดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้น เพราะนักลงทุนต่างชาติต้องการดอลลาร์เพื่อซื้อพันธบัตร) มันวิ่งในทิศทางเดียวกันมาโดยตลอด นะ แต่อยู่วันหนึ่ง เมื่อเศรษฐกิจ และหนี้สิน มันควบคุมไม่ได้ มันก็เริ่มเกิดการแตกหัก ดังเช่น ในปี 2025 อัตราผลตอบแทน 10 ปีพุ่งสูงกว่า 4.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในหลายปี แต่ดอลลาร์กลับอ่อนค่าลงประมาณ 6% ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ มันย่อมมีสาเหตุ สินะ ว่า ทำไม !!! จริงมั๊ย … เรามาลองดูปัจจัยต่างๆ กัน ครับ :
อันดับแรก เราควรนึกถึง คือ ภาษีศุลกากร (Tariffs) ในเดือนเมษายน 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้ภาษีสูงกับสินค้าจากจีนและประเทศอื่นๆ ซึ่งแทนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ กลับถูกมองว่าเป็นภาระภาษีที่เพิ่มต้นทุน ลดการเติบโต และสร้างความไม่แน่นอน ตัวอย่างเช่น วันที่ประกาศภาษี ดอลลาร์ตกลงเกือบ 2% ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระยะสั้น และ จุดนี้เองที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง เพราะ นักลงทุนไม่มั่นใจในเสถียรภาพการเงินของสหรัฐ เนื่องจากหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณสูงขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องจ่ายผลตอบแทนสูงเพื่อดึงดูดนักลงทุน เข้ามาซื้อพันธบัตรรัฐบาล แต่ที่แปลกมากๆ ก็คือ ในช่วงนั้น ดอลลาร์กลับอ่อนค่า นี่คือ สัญญาณแรก ที่เตือนว่า นักลงทุนบางส่วนเริ่มหลีกเลี่ยงพันธบัตรสหรัฐ เพราะความไม่แน่นอน และหนี้สิน ครับ
อันดับถัดไป ก็ คือ ความวุ่นวายทางการเมือง การที่ทรัมป์โจมตีเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และข่มขู่จะปลดเขาออกหากดอลลาร์ไม่อ่อนค่า สร้างความสั่นคลอนต่อความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินสหรัฐ ทำให้นักลงทุนมองว่าการเมืองอาจจะเข้าไปแทรกแซงธนาคารกลางสหรัฐ ก็ได้ บรรยากาศของความไม่แน่นอน ยังปกคลุมถึง นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพราะ ทรัมป์ เองก็ออกมาโจมตี ธนาคารกลางสหรัฐฯ ในนโยบายที่ไม่ยอมลดดอกเบี้ย ตามที่ทรัมป์ ต้องการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะที่บางคนต้องการคงดอกเบี้ยสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่วนพาวเวลเอง ก็ออกมาต่อต้านนโยบาบการค้าของทรัมป์ ว่า จะเป็นต้นต่อให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ อีกครั้ง .. ทั้งหลายทั้งปวง นี้ทำให้ความไม่ชัดเจนนี้เพิ่มความกังวลในตลาดตลอดมา
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนต่างๆ การปรับตัวของนักลงทุนทั่วโลกต่อสถานการณ์จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น นักลงทุนเริ่มกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำ และบางประเทศอย่างจีนกับญี่ปุ่น (ผู้ถือพันธบัตรสหรัฐรายใหญ่) สัญญาณว่าจะลดการซื้อพันธบัตร อีกทั้งยัง ขายพันธบัตรสหรัฐ ออกมาด้วย สิ่งเหล่านี้ก็กดดันดอลลาร์เพิ่ม ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ตามที่ผมเคยกล่าวไว้แล้ว
ผลกระทบที่ตามมา คือ เราจะเห็นว่า ในหลายประเทศ การเชิญชวนให้นักลงทุนเข้าซื้อพันธบัตร ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะนักลงทุนให้ความสนใจน้อยมาก จนถึงขนาดที่จะต้องให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น เพื่อชดเชยความเสี่ยงภัยที่เพิ่มขึ้น ในสหรัฐ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ เช่น 30-year fixed mortgage ขึ้นไปถึง 6.9% สูงสุดในรอบ 20 ปี สินเชื่อรถยนต์และบัตรเครดิตแพงขึ้น ธุรกิจเริ่มทะยอยลดการลงทุนและจ้างงาน … สงครามการค้า ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ดอลลาร์อ่อนทำให้การนำเข้าสินค้าต่างประเทศแพงขึ้น บวกกับภาษีที่เพิ่มต้นทุนวัตถุดิบ เช่น เหล็กและอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้ราคาสินค้าในสหรัฐสูงขึ้นทันที แต่ในสิ่งที่ไม่ดี ก็มีสิ่งที่ดีเช่นกัน กล่าวคือ ในตลาดเกิดใหม่ ก็ได้รับประโยชน์ระยะสั้นจากหนี้สกุลดอลลาร์ที่เบาลง แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาการส่งออกที่ลดลงจากความต้องการสหรัฐที่อ่อนแอ
เหตุการณ์เหล่าใช่ว่าจะไม่มีในอดีต นะ หากเราย้อนไปดู เราจะเห็นว่าในช่วงทศวรรษ 1970 สหรัฐเผชิญภาวะขาดดุลงบประมาณและเงินเฟ้อสูง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น แต่ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างมาก นำไปสู่ “stagflation” (การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมเงินเฟ้อสูง) สุดท้าย ธนาคารกลางสหรัฐฯ ภายใต้พอล โวลเกอร์ ต้องแทรกแซงด้วยการขึ้นดอกเบี้ยสูงถึง 20% เพื่อควบคุมสถานการณ์ ซึ่งสร้างความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจแต่ช่วยฟื้นความน่าเชื่อถือของดอลลาร์ … แต่ปัจจัยในปัจจุบัน มันมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่นอกเหนือจากเหตุการณ์ในปี 1970 มาก เช่น สงครามการค้า หนี้สินของรัฐบาลทั่วโลก และ สงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย สงครามในตะวันออกกลาง สิ่งเหล่านี้ มันซ้ำเติมให้เศรษฐกิจโลก นั่นต้องทดถอยไปอีก
หาก ความสัมพันธ์ระหว่างดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar Index – DXY) และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ยังคงแตกหักต่อไป อาจนำไปสู่ วิกฤตการเงิน: ความเชื่อมั่นในดอลลาร์ลดลงอาจทำให้เกิดการขายสินทรัพย์สหรัฐจำนวนมากออกมา และการแทรกแซงของธนาคารกลางสหรัฐน น่าจะเกิดขึ้น โดยการใช้ “yield-curve control” (ควบคุมอัตราผลตอบแทน) หรือลดดอกเบี้ย อย่างเช่นที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ ยังจแก้ปัญหาโครงสร้างไม่ได้หากความเสี่ยงทางการคลังยังสูง และเมื่อเป็นเช่นนี้ โลกจะเข้าสู่ความไม่แน่นอน อันทำให้ระบบการเงินโลกผันผวน โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการค้ากับสหรัฐและญิ่ปุ่น
ผมถึงบอกว่า นี้ เป็น สัญญาณเตือนที่สำคัญว่านักลงทุนทั่วโลกกำลังทบทวนความน่าเชื่อถือของสหรัฐ เพื่อนๆ จึงจะเห็นว่า ทองคำ วิ่งขึ้น และดอลลาร์ก็ยังอ่อนค่าลง ครับ
ศิษย์ สุมาเต็กโซ