เราต้องยอมรับว่าหลายบริษัทเริ่มต้นจากแนวคิดและความมุ่งมั่นของผู้ก่อตั้ง หรือ “เถ้าแก่” ซึ่งมักเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์เฉพาะตัวและต้องการควบคุมทิศทางของธุรกิจอย่างใกล้ชิด แต่เมื่อบริษัทเติบโตขึ้นและเวลาผ่านไป ความซับซ้อนขององค์กรก็เพิ่มขึ้น ทำให้การบริหารโดยผู้ก่อตั้งเพียงคนเดียวอาจไม่สามารถรองรับการขยายตัวได้ การเปลี่ยนผ่านจาก “บริษัทของผู้ก่อตั้ง” (Founder-led) ไปสู่ “บริษัทที่บริหารโดยมืออาชีพ” (CEO-led) จึงกลายเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นคงและเสริมศักยภาพการเติบโตขององค์กรในระยะยาว
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ Apple ซึ่งเริ่มต้นจากการบริหารของ Steve Jobs ผู้ควบคุมทุกด้านของผลิตภัณฑ์และมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อ Tim Cook เข้ารับตำแหน่ง CEO เขานำแนวทางการบริหารที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ Jobs เป็นนักนวัตกรรมที่ใส่ใจในรายละเอียดของผลิตภัณฑ์อย่างลึกซึ้ง Cook กลับให้ความสำคัญกับ ประสิทธิภาพการดำเนินงาน ซัพพลายเชน และการสร้างระบบนิเวศของบริการ ผลลัพธ์คือ Apple เติบโตขึ้นอย่างมหาศาลและมีมูลค่าตลาดสูงถึง 3.5 ล้านล้านดอลลาร์
การเปลี่ยนแปลงจากสไตล์ผู้ก่อตั้งไปสู่การบริหารโดยมืออาชีพจึงเป็นมากกว่าการเปลี่ยนตัวบุคคล แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวทางการบริหารที่สามารถสร้าง เสถียรภาพและความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งหลายบริษัทในประเทศไทยก็กำลังเผชิญการเปลี่ยนผ่านลักษณะเดียวกันจากธุรกิจครอบครัวไปสู่การบริหารแบบมืออาชีพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก
ธุรกิจที่เติบโตจากแนวคิดของผู้ก่อตั้ง หรือ เถ้าแก่ นั้น มักมีโครงสร้างที่ยึดติดกับแนวทางและการตัดสินใจของบุคคลเพียงคนเดียว เช่นเดียวกับที่ Steve Jobs ใช้แนวทางการควบคุมทุกรายละเอียดของผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ของ Apple แต่เมื่อองค์กรขยายตัวจนถึงจุดหนึ่ง ความสามารถของบุคคลอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่บริหารโดยมืออาชีพ เช่นเดียวกับที่ Tim Cook ปรับ Apple ให้กลายเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการจัดการซัพพลายเชนและการขยายระบบนิเวศของบริการ
เมื่อ Steve Jobs มอบอำนาจในการดูแล Apple ให้แก่ Tim Cook นั่น มันไม่ง่ายเลย ครับ เพราะ Steve Jobs ทำชื่อเสียงให้แก่ Apple มาโดยตลอด แล้ว การที่มอบหมายให้ Tim Cook ซึ่งเป็นใครก็ไม่รู้ มาบริหาร ทุกคนๆ ในขณะนั้น ต่างบอกกันเป็นเสียงเดียวเลยว่า Apple น่าจะไปไม่รอด เพราะ Tim Cook ไม่ใช่ คนที่เติบโตมาจากฝ่ายผลิตภัณฑ์ และ เขาก็ไม่ได้เติบโตมาจากฝ่ายการขายหรือการตลาด แต่ว่า ภายในทศวรรษ Tim Cook ได้เพิ่มผลกําไรของ Apple เป็นสามเท่าโดยทําสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ Steve Jobs ทํามาโดยตลอด แล้วเพื่อนๆ ครับ เราจะไม่สนใจการบริหารงานของผู้ชาย คนนี้ ได้อย่างไร เรามาดูกันดีกว่า ว่า เขาทำมันได้อย่างไร
ด้วยความหลงไหลของ Steve Jobs ทําให้ Apple มีมูลค่าถึงพันล้าน แต่กลยุทธ์ของ Tim Cook เขากลับทําให้ Apple มีมูลค่าตลาดสูงถึง 3.5 ล้านล้านดอลลาร์. Steve Jobs บริหาร Apple ในรูปแบบของผู้ก่อตั้งแบบคลาสสิก กล่าวคือ เขาจะควบคุมทุกรายละเอียดและตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวของเขาเอง ก่อนอื่นเรามาทําความเข้าใจกันก่อนว่า Apple เป็นอย่างไรก่อน Tim Cook จะมา Apple ในขณะนั้น มี สินค้าคงคลัง 6 เดือนที่อยู่ในคลังสินค้า และ เขามีซัพพลายเออร์หลายร้อยรายที่ไม่มีการประสานงานกันเลย เขามีผลิตภัณฑ์ใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะถึงมือลูกค้า ในขณะหนึ่ง Apple เคยเกือบใกล้จะล้มละลายเนื่องจากขาดนวัตกรรม ในเวลานั่น Steve Jobs รู้ดีว่า Apple ต้องการใครสักคนที่จะแก้ไขห่วงโซ่อุปทานที่พังนั่น และ คำตอบ ที่เขาพบ คือ Tim Cook
Tim Cook เป็นอัจฉริยะด้านซัพพลายเชนที่ใช้เวลา 12 ปีที่ IBM และทํางานที่ Compaq (ผู้ขายพีซีที่ใหญ่ที่สุดในโลก) ในเวลานั้น เมื่อ Tim Cook เข้ามาใน Apple เขาเริ่มทำการแก้ไข สิ่งต่างๆ ดังนี้ เขาเริ่มแนะนําการผลิตแบบทันเวลา (Just-in-time manufacturing) เมื่อเขาไปสำรวจสินค้าคงคลัง Tim Cook จะเรียกสินค้าคงคลังว่า “ความชั่วร้ายโดยพื้นฐาน” เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ในตอนแรก Apple เคยผลิตผลิตภัณฑ์ล่วงหน้าและเก็บไว้ในคลังสินค้า แต่มันนําไปสู่ต้นทุนผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นและผลกําไรที่ลดลง นั่นเป็นเหตุผลที่ Tim Cook จึงเริ่มนำแนวความคิดการผลิตแบบ Just-in-time มาใช้แทน ด้วยวิธีนี้ เขาใช้เวลาเพียง 6 เดือน มันช่วยให้เขาลดสินค้าคงคลังของ Apple จาก 30 วันเหลือ 6 วัน และ ภายในปี 1999 เขาลดมันลงเหลือแค่ 2 วัน
ในเรื่องของ Supply Chain นั่น Tim Cook ได้เริ่มปฏิวัติความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ ด้วยความอัจฉริยะที่แท้จริงของ Tim Cook กําลังเปลี่ยนจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของ Apple ให้กลายเป็นจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก่อน Tim Cook จะมานั่น เงินสํารองเงินสดมหาศาลของ Apple เพิ่งอยู่ในธนาคาร แต่ Tim Cook เห็นอย่างอื่นในสิ่งนี้ นั่นคือ มันเป็นชิปต่อรองที่สมบูรณ์แบบกับซัพพลายเออร์ ด้วยวิธีนี้ Tim Cook ลดซัพพลายเออร์ลง 75% และปรับปรุงกระบวนการผลิตทั้งหมด. เขาถึงกับทําให้แน่ใจว่าโรงงานของซัพพลายเออร์อยู่ใกล้กัน ดังนั้น ทุกวันนี้ ผลิตภัณฑ์ Apple ส่วนใหญ่จัดส่งจากผู้ผลิตโดยตรง ในประเด็นนี้ ผมจะอธิบายเพิ่มเติมสำหรับ เพื่อนๆ ที่ไม่เข้าใจว่า ทำไม เงินสดสำรองจึงเป็นการต่อรองที่สมบูรณ์แบบ กับ Supplier เรามาฟังกันครับ
วิธีที่ Tim Cook ใช้เงินสดสำรองเป็นอำนาจต่อรอง ค่อนข้างง่ายๆ มาก คือ การซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าในปริมาณมาก เมื่อ Apple มีเงินสดสำรองจำนวนมหาศาล ทำให้สามารถ ซื้อล่วงหน้า วัตถุดิบที่จำเป็นต่อการผลิต เช่น ชิปประมวลผล, หน่วยความจำแฟลช, จอแสดงผล ฯลฯ ตัวอย่างเช่น ตอนเปิดตัว iPod Nano ในปี 2005, Tim Cook ใช้เงิน 1.25 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อ หน่วยความจำแฟลชเกือบทั้งหมดในตลาด ผลที่เกิดขึ้น: คู่แข่งไม่สามารถหาหน่วยความจำแฟลชมาผลิตสินค้าแข่งกับ Apple ได้ ดังนั้น Apple จึงผูกขาดตลาด iPod ได้หลายปี อีกกลยุทธ์ ที่ Tim Cook ทำ คือ เขา ล็อกซัพพลายเชนด้วยสัญญาระยะยาว ด้วยเงินสดสำรอง Apple สามารถ ทำสัญญาซื้อขายระยะยาวกับซัพพลายเออร์ ตัวอย่าง: Apple ไปทำสัญญาซื้อ หน้าจอ OLED จาก Samsung และ LG เป็นระยะเวลาหลายปี ผลที่ตามมาคือ ซัพพลายเออร์ให้ความสำคัญกับ Apple มากกว่าคู่แข่ง ต้นทุนลดลง, Apple ได้ของก่อนคนอื่น, คู่แข่งหาของยากขึ้น นอกจากนั้น Tim Cook ยังลดจำนวนซัพพลายเออร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ก่อน Tim Cook มา Apple มี ซัพพลายเออร์จำนวนมากและกระจายตัวอยู่ทั่วโลก ทำให้มีต้นทุนสูงและซัพพลายเชนไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น เขาจึงลดจำนวนซัพพลายเออร์ลง 75% และเลือกเฉพาะรายที่ เชื่อถือได้และทำงานร่วมกันได้ดี สิ่งนี้ ทำให้ซัพพลายเชนมีความคล่องตัวมากขึ้น, ลดความล่าช้า และเพิ่มอัตรากำไรให้ Apple
การมีเงินสดเยอะในมือก็ดีในแง่หนี่ง คือ การกดราคาต้นทุนการผลิต เพราะ Apple สามารถสั่งซื้อในปริมาณมากและมีเงินสดสำรอง จึงสามารถ กดราคาวัตถุดิบ ได้ดีกว่าคู่แข่ง ซัพพลายเออร์ต้องการทำงานกับ Apple เพราะมี ความแน่นอนในการรับเงินและคำสั่งซื้อจำนวนมาก Apple จึงสามารถทำให้ราคาต้นทุนที่ต่ำลง และ แน่นอน มันทำให้ Apple สามารถขายสินค้าในราคาที่แข่งขันได้ แต่ยังคงมีกำไรสูง
ในอดีต ก่อนที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์ วิศวกรรมของ Apple จะออกแบบบางอย่าง แล้วบอกซัพพลายเออร์ให้สร้างมันขึ้นมาแต่หลังจาก Tim Cook มา เหล่าซัพพลายเออร์กลายเป็นหุ้นส่วน หาก Apple ฝันถึงมัน ซัพพลายเออร์จะหาวิธีสร้างมันขึ้นมา – ไม่ว่ามันจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้แค่ไหนก็ตาม ระบบนิเวศของ Apple ตอนที่ Steve Jobs กําลังจะตาย Tim Cook ได้ขอคําแนะนําจากเขาเกี่ยวกับวิธีบริหาร Apple Steve Jobs กล่าวกับเขาว่า “อย่าถามว่าฉันจะทําอะไร ให้คุณทําในสิ่งที่ถูกต้อง” ผู้คนทั่วไป ชอบวิพากษ์วิจารณ์ Tim Cook ว่า เขาขาดนวัตกรรม แต่พวกเขาไม่เข้าใจอาณาจักรการบริการของ Apple… เลย ในปี 2022 เพียงอย่างเดียว รายได้จากบริการของ Apple นั้นมากกว่า McDonald’s และ Nike รวมกัน ทุกวันนี้ บริการของ Apple เพียงอย่างเดียวทําเงินได้ 85 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
เพื่อนๆรู้หรือไม่ว่า ทําไม Cook ถึงให้ความสําคัญกับบริการมากกว่าผลิตภัณฑ์ เพราะ เขามองว่า ผลิตภัณฑ์เป็นการซื้อครั้งเดียว แต่บริการสร้างลูกค้าตลอดชีวิต นี่คือ หัวใจ ที่คนไทย มักจะไม่คิด คิดแต่เพียงขายให้มาก เหมือนกับ ตีหัวเข้าบ้าน อะไรทำนองนั้น Cook คิดว่า เมื่อคุณซื้อ iPhone คุณอาจเก็บไว้ 2-3 ปี แต่เมื่อคุณจัดเก็บรูปภาพของคุณไว้ใน iCloud และใช้ Apple Music ทุกวัน การเปลี่ยนไปใช้ Android แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อ Apple เติบโตขึ้น Cook ก็รู้ว่าต้องทําอะไร: ทําในสิ่งที่คุณเก่งที่สุดและมอบหมายทุกอย่าง เขาเชี่ยวชาญซัพพลายเชนและการดําเนินงานในขณะที่ไว้วางใจทีมของเขาในการจัดการการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบและการตลาด นี่ไม่ใช่จุดอ่อน – มันเป็นการมอบหมายสิ่งที่ดีที่สุด
กรณีศึกษา: Apple ภายใต้ Steve Jobs และ Tim Cook
Apple ภายใต้ Steve Jobs (ผู้ก่อตั้งนำธุรกิจเอง) ควบคุมทุกรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ มุ่งเน้นที่นวัตกรรมและการออกแบบ สร้างความแตกต่างผ่านประสบการณ์ของผู้ใช้ การจัดการห่วงโซ่อุปทานไม่ได้เป็นจุดแข็ง แต่เมื่อเปลี่ยนมาเป็น Apple ภายใต้ Tim Cook (มืออาชีพบริหาร) เขามุ่งเน้นการบริหารต้นทุนและซัพพลายเชน และ ลดสินค้าคงคลังและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต นอกจากนั้น เขาได้ขยายรายได้จากบริการ เช่น iCloud, Apple Music และใช้เงินสดสำรองเพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน ผลลัพธ์ คือ Apple เติบโตจากบริษัทที่มีมูลค่าหลายพันล้าน เป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงถึง 3.5 ล้านล้านดอลลาร์
ตัวอย่างใกล้เคียงในประเทศไทย อาทิ เช่น CP Group (เครือเจริญโภคภัณฑ์) เริ่มต้นโดยตระกูลเจียรวนนท์ และเติบโตจากธุรกิจเกษตรกรรม ปัจจุบันมีการบริหารโดยมืออาชีพในหลากหลายธุรกิจ เช่น 7-Eleven, True Corporation การขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลกเกิดจากการมอบหมายให้ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละอุตสาหกรรมเข้ามาบริหาร
อีกตัวอย่าง คือ SCG (ปูนซิเมนต์ไทย) เดิมที่เป็นรัฐวิสาหกิจและค่อยๆ เปลี่ยนผ่านมาสู่โครงสร้างบริษัทที่บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญ เน้นการลงทุนในธุรกิจวัสดุก่อสร้างและนวัตกรรม มีการพัฒนาเทคโนโลยีและการบริหารซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง คล้ายกับแนวทางของ Tim Cook
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงนี้สำเร็จ?
- การมอบหมายงานและความไว้วางใจ: การเปลี่ยนจากผู้ก่อตั้งที่ควบคุมทุกอย่างมาเป็นการบริหารแบบมืออาชีพต้องอาศัยความเชื่อใจในทีมงานและกระบวนการ
- การปรับปรุงโครงสร้างองค์กร: บริษัทที่ต้องการเติบโตต่อไปต้องสร้างระบบการบริหารที่ยั่งยืน ไม่ใช่พึ่งพาบุคคลเพียงคนเดียว
- การมุ่งเน้นที่ความสามารถหลัก: เช่นเดียวกับที่ Tim Cook เน้นซัพพลายเชนและบริการมากกว่าผลิตภัณฑ์ บริษัทในไทยที่ประสบความสำเร็จมักจะหาจุดแข็งของตนเองและเสริมสร้างให้แข็งแกร่งขึ้น
- การลงทุนในเทคโนโลยีและระบบนิเวศ: บริษัทที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวมักขยายไปสู่โมเดลที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงการขายสินค้าเพียงครั้งเดียว
การเปลี่ยนผ่านจาก “บริษัทของผู้ก่อตั้ง” ไปสู่ “บริษัทที่บริหารโดยมืออาชีพ” ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นหากองค์กรต้องการเติบโตจากธุรกิจระดับพันล้านไปสู่ระดับล้านล้านได้อย่างยั่งยืนครับ หวังว่าเพื่อนๆของผม จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ นำไปปรับใช้กลับองค์กรหรือบริษัทของท่านครับ ศิษย์ สุมาเต็กโซ