เพื่อนๆครับ การเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีขึ้นในปลายปีนี้ครับ และนับตั้งแต่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้ขอถอนตัวจากการรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้วสนับสนุนรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม หลังจากนั้นก็มี Polls ได้แสดงให้เห็นช่องว่างของการลงคะแนนเสียงระหว่างแฮร์ริสและโดนัลด์ ทรัมป์ ไว้ โดยแสดงแนวโน้มว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีโอกาสสูงที่จะรับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน ที่จะถึงนี้ (นี่คือการคาดการณ์ครับ มิใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง)
หากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนถัดไป ตามการคาดการณ์ จริง ผมก็คิดว่าเราก็น่าจะมาลองวิเคราะห์กันดูถึงแผนเศรษฐกิจของทรัมป์นั้นคืออะไร และมีความหมายอย่างไรต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและโลกโดยรวม
ในแง่ของภาษี: หนึ่งในแผนเศรษฐกิจของทรัมป์ คือ การลดภาษีภายในประเทศ เพราะเขาเพิ่งเสนอแนวคิดในการลดอัตราภาษีนิติบุคคลของรัฐบาลกลางจาก 21% เป็น 15% เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกันเขาได้ขู่ว่าจะเพิ่มอุปสรรคทางการค้ากับส่วนอื่นๆของโลก โดยอาจมีภาษี 10% สําหรับการนําเข้าทั้งหมด และภาษีที่สูงขึ้นสําหรับสินค้าจากประเทศจีน ผลลัพธ์ของมาตรการภาษีและภาษีเหล่านี้จะเป็นอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่สูงขึ้น ซึ่งอาจบังคับให้ธนาคารกลางสหรัฐรักษาอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นนานขึ้น ผลกระทบสุทธิต่อสหรัฐฯที่แท้จริง ต่อ GDP จะขึ้นอยู่กับว่าการ boost จากการลดภาษีมีมูลค่ามากกว่าที่จะคงไว้ซึ่งภาษีและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหรือไม่ สําหรับอื่นๆของโลก เราจะเริ่มเห็นชัดว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจน่าจะเป็นลบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในอาเซียน เพราะเมื่อโรงงานผลิตสินค้าของโลก ซึ่งปกติจะถูกส่งไปขายในสหรัฐฯและยุโรป กลับไม่สามารถส่งออกได้ตามควรจะเป็น สินค้าเหล่านี้แน่นอนครับย่อมทะลักเข้ามาในอาเซียน อันจะทำให้ธุรกิจ SME ในประเทศเหล่านั้นคงได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งการลดจำนวนแรงงานในธุรกิจเหล่านั้น
การแยกตัวออกจากนโยบายระหว่างประเทศ: ภายใต้สมัยของประธานาธิบดีของทรัมป์ การย้ายฐานการผลิตหรือถิ่นไปยังประเทศอื่นๆจะมีแนวโน้มที่จะลดลง — เมื่อพิจารณาและชั่งน้ำหนักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ — ในขณะที่ความสัมพันธ์กับพันธมิตรต่างๆในอดีต ทั้งในยุโรปและเอเชียค่อยๆห่างออกไป และจะทำธุรกรรม เริ่มน้อยลง และนี้จะเป็นสิ่งนี้ที่จะเร่งการสิ้นสุดของความขัดแย้งในยูเครน (ทรัมป์ถึงกับขู่ว่าจะหยุดความช่วยเหลือแก่ Kyiv ซึ่งบังคับให้ยูเครนมุ่งหน้าไปที่โต๊ะเจรจา) แต่สิ่งนี้อาจจะเพิ่มความเสี่ยงที่รัสเซียจะบุกรุกประเทศอื่นๆในยุโรปตะวันออก และจีนอาจจะบุกรุกไต้หวันก็ได้ ในยุคก่อนทรัมป์ก็เคยงดให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กลุ่ม NATO มาก่อนหน้านี้แล้วครับ
หนี้สาธารณะและการขาดดุลสูง: รายได้ที่สูญเสียไปจากการลดภาษีของทรัมป์ในอนาคตน่าจะมีค่ามากกว่ารายได้จากภาษีขึ้น ด้วยเหตุนี้แผนเศรษฐกิจของทรัมป์จึงมีแนวโน้มที่จะนําไปสู่การขาดดุลทางการคลังที่ยังคงกว้างขวางมาก ซึ่งก็คาดว่าสหรัฐฯจะมีหนี้สูงที่สุดในหมู่ประเทศ G7 ในขณะที่หนี้สาธารณะจะยังคงเพิ่มขึ้นตามส่วนแบ่งของ GDP สิ่งเหล่านี้ก็จะเพิ่มความเสี่ยงที่นักลงทุนจะละทิ้งพันธบัตรของกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ และมุ่งไปยังสินทรัพย์ที่จะทําให้เกิดผลตอบแทนเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นการใช้จ่ายของรัฐบาลในด้านอื่นๆที่ก็มิได้ลดจำนวนลง เหล่านี้จึงมีความจําเป็นในการเจรจาเพดานหนี้ใหม่เป็นระยะเพื่อที่จะลดความเสี่ยงต่อการผิดนัดชําระหนี้ของสหรัฐฯ
เกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ นักวิเคราะห์ของ EIU กล่าวว่า:
“เราได้เปลี่ยนแปลงการคาดการณ์ทางการเมืองของสหรัฐฯของเรา ตอนนี้เราคาดหวังให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ จะชนะการเลือกตั้งในตําแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเราก็คาดว่า อัตราเงินเฟ้อราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ คาดว่าจะสูงขึ้นอันเป็นผลมาจากอัตราภาษีนําเข้าที่สัญญาไว้ของนายทรัมป์ ข้อจํากัดด้านแรงงานผู้อพยพ และการลดภาษี เราได้ปรับลดการคาดการณ์ของเราสําหรับการเติบโตของ GDP ที่แท้จริงของสหรัฐฯ ซึ่งตอนนี้เราคาดว่าจะเฉลี่ย 1.9% ต่อปีในปี 2025-28 (เทียบกับ 2.1% ก่อนหน้านี้) เรายังเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐจะต้องรักษาอัตรานโยบายให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นในปี 2025-28 มากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ ตอนนี้เฉลี่ย 3.6% ในปีเหล่านั้น (3.1% ก่อนหน้านี้)”
นักวิเคราะห์ของ ING แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวชี้วัดทางการเงิน:
“การกู้ยืมของรัฐบาลและหนี้สาธารณะแทบจะไม่ได้รับการกล่าวถึงในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของสหรัฐฯ แต่ความล้มเหลวในการเปลี่ยนวิถีเสี่ยงต่อการลดระดับหนี้เพิ่มเติม ความผันผวนของตลาดที่มากขึ้น และต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น สิ่งนี้จะก่อให้เกิดอุปสรรคทางเศรษฐกิจ ทําให้ผู้ชนะในการเลือกตั้งมีความท้าทายมากขึ้นในการบรรลุเป้าหมายแถลงการณ์ของพวกเขา”
ผมต้องขอโทษด้วยครับnคราวนี้ดูเหมือนจะหนักไปทางวิชาการมากหน่อย แต่ผมก็หวังว่าเพื่อนๆจะได้ประโยชน์ และเตรียมตัวเตรียมใจกับสิ่งที่กำลังจะมาในอนาคต ไม่ว่ามันจะดีหรือจะร้าย เพื่อนๆก็จะต้องอยู่กับมันให้ได้ครับ หากต้องการเป็นผู้ชนะครับ
กิตติ ปิณฑวิรุจน์ / เขียนบทความ