Search
Close this search box.

การหมดอายุของข้อตกลง Petrodollar: ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและทางเลือกในการป้องกันเงินเฟ้อด้วยทองคำและ Bitcoin

Petrodollar

วันนี้ผมอยากจะคุยเรื่องข้อตกลงระหว่างสหรัฐอเมริกา กับ ซาอุดิอาระเบีย เกี่ยวกับ Petrodollar ซึ่งหมดอายุลงเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2024 และอนาคตของดอลลาร์/เศรษฐกิจของสหรัฐฯจะเป็นอย่างไร นี่หมายความว่าพวกเขาสามารถคาดหวังอัตราเงินเฟ้อล่วงหน้าได้หรือไม่? ทองคําและ BitCoin ป้องกันเงินเฟ้อหรือไม่

ก่อนที่จะไปคุยกัน เราก็ควรรู้ถึงที่ไปที่มาของเรื่อง Petrodollar ว่า มันเกิดอะไรขึ้น ณ เวลานั้น

ใน ปี ค.ศ. 1971 เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวหลังจากสงครามโลกที่สอง และเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า “ยุคทองคำของพาณิชย์” หรือ “ยุคบูมยาว” ซึ่งอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งในอเมริกาและยุโรปกำลังมองหาตลาดที่ต่างออกไปจากทวีปของตนเอง ในยุคนี้มีบริษัทน้ำมันใหญ่ของยุโรปและอเมริกาที่เรียกว่า The Seven Sisters ผูกขาดและควบคุมการค้าน้ำมันของโลกไปถึง 85% ซึ่งประกอบด้วย Anglo-Persian Oil Company (ที่หลังจากนั้นกลายเป็น BP), Gulf Oil, Standard Oil of California (Chevron), Texaco, Standard Oil of New Jersey (Esso), Standard Oil Company of New York (ExxonMobil ในปัจจุบัน), และ Royal Dutch Shell

ที่ผมสนใจก็คือ ในบรรดา 7 พี่น้องมีอเมริกันเสีย 5 บริษัท ล้วนแต่มหาเศรษฐีโลกมีอำนาจเงินแล้วก็อำนาจการเมืองควบคุมทำเนียบขาวที่วอชิงตันดี.ซี.ได้เลย ว่ากันว่าผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองจากฝ่ายการเงิน คือ ตระกูลรอธไชลด์ มีน้ำหนักควบคู่กับส่วนผู้ทรงอิทธิพลจากบรรษัทน้ำมันคนไทยต้องรู้จักมหาเศรษฐีเจ้าของสแตนดาร์ดออยล์แน่ๆ เพราะเขาชื่อว่า จอห์น ดี.ร็อคกี้เฟลเลอร์ ผู้ตั้งมูลนิธิให้เด็กไทยไปเรียนต่อและทำอะไรต่อมิอะไรหลายอย่าง

ในปีนั้นเองสหรัฐอเมริกาก็ได้ประกาศถอนตัวจากระบบมาตรฐานปริวรรตทองคำ (Gold Exchange Standard) ซึ่งกำหนดผูกค่าเงินไว้กับทองคำ ที่จริงระบบนี้มาจากข้อตกลงกันในช่วงท้ายของสงครามโลกเรียกว่าข้อตกลง Bretton Woods แปลได้ว่าเมื่อก่อนใครถือดอลลาร์ให้สามารถนำเอาดอลลาร์มาแลกเป็นทองคำได้ (Gold Convertibility) ให้เป็นอันยกเลิกแล้วให้ค่าเงินลอยตัว อ้าว!แล้วค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐหลังจากนั้นอยู่ได้เพราะอะไร? เรื่องนี้นักเศรษฐศาสตร์ยุคหลังอธิบายแบบง่ายๆว่า หลังจากปี 1971 สหรัฐเลิกระบบ Dollar for Gold เปลี่ยนมาเป็น Dollar for Oil แทน…นั่นเพราะว่าอิทธิพลทางการเมืองและการทหารของสหรัฐอเมริกาที่เป็นผู้นำโลกเสรีในยุคนั้นกำหนดให้โค้ดราคาซื้อขายน้ำมันเป็นสกุลดอลลาร์นั่นยังไง

นั่นคือ จุดเริ่มต้นของ Petrodollar ครับ

ในช่วงปี ค.ศ. 1971 การค้าขายน้ำมันยังไม่ได้กำหนดชัดด้วยการใช้เงินสกุลดอลลาร์ครับ แต่ปิโตรเลียมนั่น มันไม่ใช่เป็นแค่ผลประโยชน์หรือความมั่งคั่งของนักธุรกิจน้ำมันเหมือนยุคก่อนสงครามโลกแล้ว แต่มันหมายความถึงการผูกขาดซึ่งนำไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองโลกและความมั่นคงของระบบการเงินมหาอำนาจยักษ์ใหญ่โลกเสรีไปด้วย และหลังจากนั้นอีกสองปี 1973 ก็เกิดวิกฤตการณ์พลังงานรอบแรก เกิดกลุ่มโอเปคและวงจรต่อรองอื่นรวมทั้งการสงครามในอาหรับ ดังนั้น ในปี ค.ศ. 1974 สหรัฐฯได้เข้าทำสัญญาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศซาอุดิอาระเบียที่รู้จักันในชื่อ “United States-Saudi Arabian Joint Commission on Economic Cooperation” อันที่จริงนี่ไม่ใช่ข้อตกลง Petrodollar จริงๆแล้วไม่เคยมีข้อตกลง Petrodollar ที่ชัดเจน

ในตอนนั้นข้อตกลงมีศูนย์กลางอยู่ที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการจัดหาปิโตรเลียมที่มั่นคงไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อนๆต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ในตอนนั้นสหรัฐฯมิใช่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันนะครับ แต่เป็นประเทศที่บริโภคน้ำมัน หรือนำเข้าน้ำมันเสียมากกว่า

โดยธรรมชาติแล้ว ซาอุดีอาระเบีย มีส่วนเกินจํานวนมากจากการขายน้ำมัน และสหรัฐฯต้องการให้ดอลลาร์เหล่านั้นกลับมาอยู่ในเศรษฐกิจสหรัฐฯผ่านการซื้อพันธบัตรของสหรัฐฯ แม้หลังจากลงนามในข้อตกลงแล้ว ซาอุดิอาระเบียยังคงขายน้ํามันในสกุลเงินอื่นต่อไป นอกจากดอลลาร์สหรัฐแล้ว ปอนด์อังกฤษยังพบได้บ่อยที่สุด

แต่เมื่อเวลาผ่านไป เงินดอลลาร์ก็ครอบงําในฐานะสกุลเงินหลักสําหรับการซื้อน้ำมันเนื่องจากลักษณะของความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสกุลเงิน (เทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ทั้งหมด)

จากที่กล่าวมา สิ่งต่างๆเริ่มเปลี่ยนไป…เป็นลำดับ อาทิเช่น สหรัฐฯด้วยการสมรู้ร่วมคิดของ NATO ได้ยั่วยุให้ทําสงครามกับรัสเซียในยูเครนและระเบิดท่อส่ง Nord Stream 1 และ 2 ในความพยายามที่จะทําให้เศรษฐกิจของรัสเซียพิการ แต่มันก็ไม่ได้ผล เศรษฐกิจของรัสเซียไม่เพียงแต่ไม่ได้รับความเดือดร้อนเท่านั้น แต่ยังเจริญรุ่งเรืองอีกด้วย รัสเซียแซงหน้าญี่ปุ่นในฐานะเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก และเมื่อไม่กี่เดือนก่อน กองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของรัสเซียจะเติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาทั้งหมด

ความจริงก็คือรัสเซียสามารถขายทรัพยากรธรรมชาติของตนเองไปยังประเทศอื่นได้ และธุรกรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติในสกุลเงินอื่น (ผมได้เคยพูดคุยให้ฟังถึง Secondary Economic Sanction แล้ว ลองไปหาอ่านดูครับ)

นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในการทําสงครามกับรัสเซียผ่านตัวแทนยูเครน ส่งผลให้น้ำมันทั่วโลกประมาณ 20% ถูกซื้อและขายในสกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐ นี่ไม่ได้เกี่ยวกับข้อตกลงที่หมดอายุที่กล่าวข้างต้นเลย แต่เป็นผลโดยตรงจากนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ในปัจจุบัน และประเทศ BRICS นั่นคือบราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ อิหร่าน อียิปต์ เอธิโอเปีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกเหนือจากซาอุดิอาระเบียได้เคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มการค้าในสกุลเงินที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ (Dedollarization)

โดยธรรมชาติแล้วนี่เป็นสิ่งที่เสียเปรียบสําหรับสหรัฐฯ หากประเทศต่างๆลดการใช้การค้าในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ประเทศเหล่านั้นก็จะมีสกุลเงินของสหรัฐฯน้อยลงเพื่อส่งกลับเข้าสู่สหรัฐอเมริกา โดยผ่านการซื้อ พันธบัตรของสหรัฐฯ เพื่อช่วยเหลือการใช้จ่ายที่ขาดดุลของสหรัฐฯนั่นเอง ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด การคลังของสหรัฐฯก็จะล่มสลาย และธนาคารกลางสหรัฐจะถูกบังคับให้พิมพ์เงินอีกหลายล้านล้าน ทําให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างมาก นั่นคือสิ่งที่ทุกคนกังวลและเกรงกลัว แต่เพื่อนๆครับ สหรัฐฯหนีความจริงข้อนี้ไม่ได้ มันจะต้องเกิดขึ้น…ไม่ช้าก็เร็ว และรัฐบาลสหรัฐฯ และ Federal Reserve ก็รู้เรื่องนี้ แต่เขาไม่กลัวครับ เพราะ เขามีทางออกเรียบร้อยแล้ว ดอลลาร์ก็จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นนอน แต่ตอนนี้มันยังมาไม่ถึงครับ ดอลลาร์ก็ยังคงแข็งอยู่ครับ เพื่อนๆรู้หรือไม่ว่า ใน Q1 2024 นักลงทุนต่างชาติลงทุนถึง 187 พันล้านเหรียญดอลลาร์ ใน US corporate bond นะครับ และสูงถึง 61% จากปีที่แล้ว และ สูงสุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมาด้วย และรู้หรือเปล่าว่า นักลงทุนเหล่านี้มาจากเอเชียและยุโรปครับ นั้นหมายถึงว่าอาจจะรวมถึงนักลงทุนไทยด้วยละ

แต่สิ่งเหล่านี้ที่ผมคุยให้ฟัง มันจะกระทบพวกเรา มันจะมีผลมหาศาล เพราะเราไม่ใช่ประเทศนะครับ ดังนั้น เราจำต้องหาทางในการป้องกันความเสี่ยงภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้น

ในความเห็นของผม ทองคําและบิตคอยน์เป็นการป้องกันความเสี่ยงที่ดีต่อนโยบายการเงินและการคลังที่ล้มสลายซึ่งเรากําลังประสบอยู่ในขณะนี้ ส่วนสินทรัพย์อื่นๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่นๆ ก็เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเราสามารถซื้อที่ดินที่มีราคาถูกและเงินกู้ long-term fixed-interest-rate ด้วยวิธีนี้ เราก็จะสามารถที่จะป้องกันการลดค่าของเงินลงได้ เนื่องจากรายได้ที่เกิดจากที่ดินเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ก็ได้ครับ

กิตติ ปิณฑวิรุจน์​ / เขียนบทความ

แบ่งปันบทความนี้