สวัสดีปีใหม่ครับทุกท่าน ปีนี้เป็นปีที่ผมนอนเล่นที่บ้านมิได้ย่างกายไปไหนเหมือนทุกปี เพราะเพื่อไว้อาลัยให้กับเศรษฐกิจที่บอบช้ำในปีที่แล้ว…และผลของมันก็คงยังมีต่อมาถึงปีนี้(2024) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ การส่งออกก็ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ การท่องเที่ยวถือว่าเป็นพระเอกในเวลานี้ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวมากกว่า 27 หรือ 28 ล้านคน มีเงินไหลเข้ามาประมาณ 1.2 ล้านล้าน…ก็ดีนะครับ
ในแวดวงของนักลงทุน ในเดือนมกราคมของทุกปี เราจะรอคอยกัน เพราะนักลงทุนจะเริ่มเข้าตลาดหาซื้อหุ้นกันแล้ว หลังจากที่พักผ่อนยาวๆ ในปีที่แล้ว ซึ่งสิ่งนี้เรามักจะเรียกกว่า “January Effect” ครับ เพราะอะไรหรือ…ก็เพราะว่า หุ้นจะมีแนวโน้มที่จะ perform ดีในเดือนมกราคม — ในความลึกลับของตลาดที่รู้จักกันดี
January Effect คือ พฤติกรรมของตลาดหุ้นตามฤดูกาลที่ขัดกับ “สมมติฐานตลาดที่มีประสิทธิภาพ” ซึ่งกล่าวว่าราคาหุ้นนั้นสุ่มโดยพื้นฐานและคาดเดาไม่ได้ นักวิชาการเริ่มวัดปริมาณประสิทธิภาพในเดือนมกราคมครั้งแรกในปี 1940 แต่เอกสารสําคัญในหัวข้อนี้เพิ่งจะมีขึ้นตั้งแต่ปี 1976 เขาพบว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 ถึง ค.ศ. 1974 ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นในช่วงเดือนมกราคมจะสูงเกือบ 3.5% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนรายเดือนในช่วงที่เหลือของปีประมาณแปดเท่าซึ่งเฉลี่ย 0.4% และเมื่อเขาทำการศึกษาที่ตามมา และ update สิ่งที่ค้นพบ เอกสารปี 2003 ที่ดูในปี 1947 ถึง 2000 พบผลตอบแทนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนมกราคม เช่นเดียวกับเอกสารปี 2008 ที่ดูข้อมูลตั้งแต่ปี 1927 ถึง 2004 โดยเหตุนี้ จึงมีการเสนอทฤษฎีหลักสองทฤษฎีเกี่ยวกับสาเหตุที่ควรเป็นเช่นนี้: การขาย tax-loss และการทำ window dressing
จากทฤษฏี tax-loss แนวคิดคือนักลงทุนในสหรัฐฯ มักจะขายหุ้นที่ขาดทุนเป็นจํานวนมากในเดือนธันวาคมเพื่อสร้างความสูญเสียที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อเป็นส่วนลดรายได้ที่ต้องเสียภาษี และด้วยเหตุนี้จึงลดค่าภาษีลง นั่นทําให้เกิดแรงกดดันขาลงที่ผิดปกติในตลาดในเดือนธันวาคม โดยลดลงในเดือนมกราคม ทําให้หุ้นดีดตัวขึ้นเล็กน้อยในเดือนนี้ แต่นักลงทุนไทยกลับคิดว่า เขาขายของออกมาเมื่อใกล้ถึงวันหยุดยาว อาทิ เช่น Christmas’s Eve เป็นต้น
สมมติฐาน window-dressing แนะนําว่าผู้จัดการเงินมืออาชีพจะล้างหุ้นที่มีผลงานไม่ดีออกจากพอร์ตการลงทุนในเดือนธันวาคมเพื่อหลีกเลี่ยงการรายงานการถือครองที่น่าอับอายในเอกสาร end-of-year จากนั้นมักจะซื้อคืนในเดือนมกราคม ทําให้ตลาดมีแกว่งนิดหน่อย
ทั้งสองทฤษฏีข้างต้น ใช่ว่าจะไม่มีข้อโต้แย้ง ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลแสดงผลกระทบในเดือนมกราคมสําหรับหุ้นก่อนที่จะมีภาษีเงินได้ — เปิดตัวในปี 1913 แต่ที่แปลกก็ คือ มีการบันทึกผลกระทบในเดือนมกราคมสําหรับตลาดหุ้นในหลายประเทศที่มีระบบภาษีที่แตกต่างกันมาก หรือ ในขณะที่กลอุบายของผู้จัดการเงินอาจมีบทบาทสําคัญในปรากฏการณ์นี้ แต่บางท่านกลับคิดว่า January Effect นั่นเป็นเพียงหลักฐานของจิตวิญญาณมนุษย์ในที่ทํางานเช่นกัน นักเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมบางคนที่ใช้ข้อมูลเชิงลึกทางจิตวิทยากับการวิเคราะห์เศรษฐกิจและเห็นด้วย อ้างถึงการค้นพบว่าการเปลี่ยนปีปฏิทินมักจะฉีกการมองโลกในแง่ดีชั่วขณะเข้าสู่ตลาด บทความปี 2011 ในวารสาร Journal of Behavioral Finance พบว่า “January Effect อย่างน้อยส่วนหนึ่งได้รับแรงหนุนจากการมองโลกในแง่ดีของนักลงทุนในช่วงเปลี่ยนปี”
อย่างไรเสีย ผมก็หวังว่า เพื่อนๆของผมจะรู้สึกมองโลกในแง่ดีเล็กน้อยเมื่อปี 2024 ที่มาถึงแล้ว นะครับ โปรดอย่าถามว่า ปีใหม่นี้จะมีอะไรดีๆ กับท่านหรือไม่ แต่ต้องถามตัวท่านเองว่า ท่านนำสิ่งดีๆจากปีที่แล้วมาด้วยหรือเปล่า ถ้าไม่มี ก็พยายามสร้างให้ได้ในปีนี้นะครับ
ปล. ข้อมูลที่ท่านอาจจะสนใจ คือ 1. หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ทําสถิติสูงสุด 34 ล้านล้านดอลลาร์ (ข่าวจาก AP) และ 2. เศรษฐกิจจีนในปี 2024 จะตัดสินกันด้วยกิจการนอกประเทศจีน ครับ
กิตติ ปิณฑวิรุจน์ / เขียนบทความ