Search
Close this search box.

ตัวแปร 3 ตัวต่อการลงทุน

ในโลกของการลงทุนนั้น ผมมักจะเจอสิ่งที่มักจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเราอยู่ 3 ประการ คือ

  1. ผลตอบแทนของ T – Bond หรือ พันธบัตรของกระทรวงการคลัง 10 ปีที่พุ่งสูงขึ้น,
  2. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าขึ้น และ
  3. ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น

ตัวแปรทั้งสามตัวดูเหมือนจะทําหน้าที่เป็นลูกบอลทําลายสําหรับตลาดหุ้นในจุดต่างๆ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา รวมทั้งตลาดหุ้นไทยที่เงินโยกเข้าแล้วก็โยกออก … มันเป็นแบบนี้มาหลายครั้งหลายคราวแล้ว หากเพื่อนๆ ลองสังเกตดู ตัวอย่างเช่น น้ำมันในตลาดโลกขึ้น หุ้นไทยที่เกี่ยวกับน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็น PTTEP หรือ TOP ก็จะขึ้นกันหมด แต่พอน้ำมันในตลาดโลกลดลง หุ้นไทยเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะหมดแรงไปเฉยๆเลย เป็นต้น

แต่เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ผลตอบแทนของกระทรวงการคลัง 10-year ซึ่งอาจมีอิทธิพลมากที่สุดของ 3 ตัวแปรข้างต้น ลดลงต่ำกว่า 4% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ แต่ในขณะเดียวกัน เงินดอลลาร์และน้ำมัน ดูเหมือนจะซิลล์ ๆอย่างไรก็ไม่รู้ หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์แตะระดับสูงสุดในเดือนเมษายน 2024 ค่าเงินดอลลาร์ก็อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้จะเป็นภัยคุกคามหรือการเผชิญหน้าที่เพิ่มขึ้นของสงครามระดับภูมิภาคในตะวันออกกลาง แต่ตลาดน้ำมันก็ดูไม่กังวลกับข่าวเหล่านี้เท่าไหร่เลย โดยซื้อขายในช่วงกลางทศวรรษ ก็ ทรงๆ อยู่ที่ระดับ 70 – 80ดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็น WTI หรือ Brent

แต่สิ่งที่สําคัญกว่านั้น คือ ผมจะสามารถพึ่งพาทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่องสําหรับแต่ละตัวแปรในขณะที่ผมตัดสินใจสำหรับ Q4 ว่า ผมจะมองการลงทุนย่างไร ? ผมว่า เรามาหาคําตอบกัน (อย่าเชื่อผม นะ ครับ และ สิ่งที่ผมพูดคุย ก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัว มิใช่ คำแนะนำการลงทุนอย่างไร ทั้งสิ้น ครับ)

1. ผลตอบแทนของกระทรวงการคลัง 10 ปีได้ทรุดตัวลง เนื่องจากตลาดมองไปยังข้อมูลทางเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ผลตอบแทนของพันธบัตรกระทรวงการคลัง 10 ปีที่เพิ่มขึ้น หมายถึงอัตราคิดลดที่สูงขึ้น ซึ่งลดการประเมินมูลค่าปัจจุบันของหุ้น นั่นเป็นการลากราคาตลาดที่สูงส่ง นอกจากนี้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่สูงขึ้นยังดึงดูดนักลงทุนบางคนให้ดึงเงินออกจากหุ้นเพื่อรับประโยชน์จากผลตอบแทนที่สูงขึ้น “ปราศจากความเสี่ยง” ซึ่งยังสร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้นอีกด้วย ดังนั้นเราจึงเห็นว่า พันธบัตรนั้นนับตั้งแต่แตะระดับสูงสุดในปี 2024 ในช่วงปลายเดือนเมษายน แล้วผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปีก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวานนี้ก็ลดต่ำกว่า 4% ในทางตรงข้ามนี้กลับเป็นข่าวดีสําหรับหุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่นเดียวกับหุ้นเทคโนโลยี/การเติบโตที่ได้รับการประเมินมูลค่าจากการลดราคารายได้ในอนาคต

จากสิ่งเหล่าเราสามารถคาดหวังว่าการอ่อนตัวนี้จะดําเนินต่อไปได้หรือไม่? คำตอบคือเป็นไปได้มากว่าเราทําได้ แต่เราก็ควรคาดหวังความผันผวนในตลาดไว้บ้างนะครับ ตัวแรกที่เราควรพิจารณา คือ กรณีที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ส่งสัญญาณถึงการเปิดกว้างของเขาต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักฯ หลังจากดูตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯแล้วต่างก็มั่นใจว่าจะต้องมีการปรับลดดอกเบี้ยอย่างแน่นอนครับ ซึ่งน่าจะมีการปรับลดอีกอย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลทางเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลง ตามรายงานเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเบื้องต้นเพิ่มขึ้นเป็น 249,000 สําหรับสัปดาห์ที่สิ้นสุดในวันที่ 27 กรกฎาคม ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ของดาวโจนส์ที่ 235,000 อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังมีดัชนีการผลิต ISM ที่ 46.8 การอ่านด้านล่าง “50” บ่งชี้ว่าการผลิตกําลังลดลง เศรษฐกิจที่ย่ำแย่นี้จะเป็นตัวเร่งของการลดดอกเบี้ยและจะกระทบต่อผลตอบแทนพันธบัตรที่ “ลดลง” ครับ

สิ่งสุดท้ายก็คือ เมื่อมีเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitical event) จะทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลและหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากขึ้น เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา (Treasury bonds) การที่นักลงทุนซื้อพันธบัตรมากขึ้นจะทำให้ราคาของพันธบัตรสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผลตอบแทน (yield) ของพันธบัตรลดลง นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อราคาพันธบัตรเพิ่มขึ้น ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากการถือครองพันธบัตรนั้นลดลง เนื่องจากราคาที่จ่ายเพื่อซื้อพันธบัตรนั้นสูงขึ้นเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยที่พันธบัตรจ่ายออกมา อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10-year Treasury yield) มีแนวโน้มที่จะลดลง เนื่องจากมีแรงกดดันที่ทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและมุ่งสู่การลงทุนที่ปลอดภัย ซึ่งจะทำให้เกิดการลดลง นั่นจะเป็นทิศทางที่เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุดสำหรับพันธบัตรครับ

2. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นทําให้เกิดอุปสรรคสําหรับบริษัทต่างชาติที่สร้างรายได้จํานวนมากในต่างประเทศ (เนื่องจากการแปลงสกุลเงิน) สิ่งนี้ทําร้ายรายได้ซึ่งส่งผลต่อราคาหุ้น อย่างน้อยเพื่อนๆก็น่าจะสังเกตุออกนะว่าประมาณ 40% – 50% ของรายได้ของ S&P 500 มันเป็นการลงทุนจากนอกประเทศสหรัฐฯ สําหรับภาคเทคโนโลยี การที่ดอลลาร์แข็งขึ้น หมายถึงเม็ดเงินในการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯจะน้อยลง สำหรับนักลงทุนต่างชาติแบบพวกเรา และดอลลาร์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาผมว่า มันไม่ใช่ “ความแข็งแกร่ง” แต่เป็น “ความอ่อนแอ” ครับ ตอนนี้ดอลลาร์ก็เช่นเดียวกับผลตอบแทนของพันธบัตรกระทรวงการคลัง 10 ปี ดอลลาร์แตะระดับสูงสุดเมื่อปลายเดือนเมษายน แต่ซื้อขายลดลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

หากเราจะมองไปข้างหน้า ทิศทางที่เป็นไปได้มากที่สุดคืออะไร?

เมื่อธนาคารกลางของสหรัฐฯ เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดอลลาร์สหรัฐจะมีมูลค่าลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยทำให้การถือครองดอลลาร์มีผลตอบแทนน้อยลง ซึ่งทำให้นักลงทุนอาจมองหาสกุลเงินหรือสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ส่งผลให้มูลค่าของดอลลาร์สหรัฐลดลง สิ่งนี้ควรลดแรงกดดันจากเงินดอลลาร์ต่อไป และช่วงปลายปีมักมีการคาดการณ์ว่าความต้องการสำหรับดอลลาร์สหรัฐจะลดลง ซึ่งสามารถช่วยลดแรงกดดันต่อมูลค่าของดอลลาร์ได้ อย่างไรก็ตามหากเกิดเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่คาดคิดขึ้น (Black Swan event) เช่น ความขัดแย้งทางการเมืองหรือสงคราม ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอาจทำให้นักลงทุนทั่วโลกหันไปถือครองดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรสหรัฐเพื่อความปลอดภัย ซึ่งจะทำให้มูลค่าของดอลลาร์สหรัฐพุ่งสูงขึ้น ดังนั้นหากไม่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้มูลค่าของดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยและปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับช่วงปลายปีนี้ครับ

.สุดท้ายนี้น้ำมันยังคงเป็นตัวที่สร้างความสับสนให้กับนักลงทุน หัวใจเต้นระทึกตลอด เดี๋ยวก่อนผมลืออะไรไปหรือเปล่า อ๋อ ยังมีอีก! ความเสี่ยงสูงต่อสงครามโลก และคลังน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ร่วงลงเป็นเวลาห้าสัปดาห์ติดต่อกันนับว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 และถึงกระนั้นราคาน้ำามันก็อยู่ในช่วงพักร้อนนะ ผมไม่ค่อยเห็นมันขยับตัวเท่าที่ควรเลย….เพื่อนๆ ลองดูราคาของ WTIC ในปีนี้สิ แม้ว่าสัปดาห์นี้จะพุ่งสูงขึ้นหลังจากอิสราเอลลอบสังหารอิสมาอิล ฮานีเยห์ของฮามาส แต่มันก็ไม่ได้เข้าใกล้จุดสูงสุดของปี 2024 ย้อนกลับไปในเดือนเมษายน ในขณะที่เรามองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นมีตัวเร่งปฏิกิริยาที่ชัดเจนที่จะผลักดันราคาให้สูงขึ้นอย่างมากเลย แน่นอนครับว่า OPEC อาจลดการผลิตและความขัดแย้งของอิสราเอล/อิหร่าน และยูเครน/รัสเซียอาจส่งผลให้โรงงานผลิตน้ำมันออฟไลน์ แต่การหยุดชะงักดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแน่นอน ฉะนั้นในวิถีปัจจุบันราคาน้ำมันดูเหมือนจะคงที่หรือต่ำกว่าเมื่อเราเข้าสู่ฤดูหนาวในปลายปีนี้

โดยรวมแล้วดูเหมือนว่าตัวแปรทั้ง 3 ตัว ที่กล่าวถึงข้างต้นจนถึงตอนนี้ ก็น่าจะเป็นข่าวดีทั้งหมด

อย่าลืมเศรษฐกิจของเรากําลังอ่อนกําลังลงจนถึงจุดที่เรากําลังเข้าสู่ภาวะถดถอย แล้วผมจะเล่าให้ฟังว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเราเข้าสู่ภาวะถดถอยครับ หากพันธบัตรลดลง ดอลลาร์อ่อนตัว และ น้ำมันไม่ขึ้น ผมว่า ทองคำ น่าจะเป็นสินทรัพย์ที่น่าถือมาที่สุดครับ แต่เพื่อนๆคงไม่กล้าเสี่ยงใน Crypto ผมจึงไม่อยากจะให้ความเห็นในเรื่องนี้ครับ หวังว่าจะได้ประโยชน์จากการพูดคุยครั้งนี้นะครับ

กิตติ ปิณฑวิรุจน์​ / เขียนบทความ

แบ่งปันบทความนี้